
เจมส์ บอนด์ตอน Goldeneye และ Tomorrow Never Dies ที่ Pierce Brosnan นำแสดงนั้นล้วนเป็นบทพิสูจน์ครับว่าบอนด์ประสบความสำเร็จใจการกลับมาครองใจผู้ชมในฐานะหนังแอ็กชันแถวหน้าอีกครั้ง
เจมส์ บอนด์ตอน Goldeneye และ Tomorrow Never Dies ที่ Pierce Brosnan นำแสดงนั้นล้วนเป็นบทพิสูจน์ครับว่าบอนด์ประสบความสำเร็จใจการกลับมาครองใจผู้ชมในฐานะหนังแอ็กชันแถวหน้าอีกครั้ง
เมื่อเจมส์ บอนด์กลับมาโด่งดังทั่วโลกอีกครั้งใน Goldeneye นั่นเป็นทั้งเรื่องดีและเรื่องกดดันสำหรับทีมงานครับ เพราะนั่นแปลว่าทั้งบริษัทออกทุน (MGM) และคนดูต่างคาดหวังในหนังบอนด์ตอนต่อไป ซึ่งคนที่ต้องรับภาระหนักที่สุดก็คือ Michael G. Wilson ลูกเลี้ยงของ Albert R. Broccoli ผู้ล่วงลับ เพราะเขาต้องขึ้นแท่นควบคุมดูแลทุกสิ่งแทน Broccoli ผู้คุมงานหนังบอนด์มากว่า 35 ปี
เมื่อ Licence to Kill บอนด์ภาคก่อนหน้าไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนักในตลาดอเมริกาทำให้แผนการสร้างบอนด์ตอนใหม่ถูฏชะลอ และยิ่งชะลอหนักขึ้นไปอีกเมื่อบริษัท MGM/UA ผู้จัดจำหน่ายหนังชุดนี้มีปัญหาพิพาทกับบริษัท Danjaq ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ EON เจ้าของสิทธิ์หนังบอนด์
จริงๆ แล้วก่อนนี้ผมเฉยกับบอนด์ภาคนี้นะครับ ด้วยโทนเรื่องที่ถือว่าหนักขึ้นและบอนด์เองก็ออกแนวพระเอกล้างแค้นมากกว่าจะมาเป็นสายลับอังกฤษทรงเสน่ห์แบบเดิมๆ
แต่พอเวลาผ่านไป กลับมาดูบอนด์ภาคนี้อีกรอบ ผมกลับโอเคกับมันมากขึ้น
เมื่อ Roger Moore อำลาบทเจมส์ บอนด์แบบแน่นอนไปแล้ว การสรรหาดาราหนุ่มคนใหม่มาสวมวิญญาณสายลับ 007 ก็เริ่มต้นอีกครั้ง โดยครั้งนี้คนที่ได้รับการทาบทามเป็นหมายเลข 1 คือ Timothy Dalton ที่ Albert R. Broccoli อยากให้มาแสดงเป็นบอนด์ตั้งแต่สมัย On Her Majesty’s Secret Service (ปี 1969 โน่นน่ะครับ) แต่ Dalton เป็นคนปฏิเสธเพราะคิดว่าตนหนุ่มเกินไปสำหรับบทพยัคฆ์ร้ายบทนี้
หลังจากเจมส์ บอนด์ตอน Moonraker ประสบความสำเร็จอย่างสูง ทำให้ผู้อำนวยการสร้าง Albert R. Broccoli รู้สึกเบาใจ คลายความกดดันที่มีในการสร้างหนังบอนด์ลงไปมาก เพราะก่อนหน้านี้เขาต้องพยายามทำบอนด์ออกมาตามกระแสเพื่อดึงความนิยม
นี่ถือเป็นบอนด์ตอนที่มีคนดูมากที่สุดตลอดกาลเลยก็ว่าได้นะครับ นับจำนวนแล้วก็ประมาณ 74.8 ล้านคนแน่ะ ก็ถ้าคิดเป็นค่าตั๋วในยุคปัจจุบัน (ปี 2560) หนังก็จะทำเงินไปถึง 664 ล้านเลยทีเดียวล่ะครับ
ตอนจบของ From Russia with Love (1963) ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าเจมส์ บอนด์จะกลับมาในตอน Goldfinger แค่นี้ก็ทำให้แฟนๆ ตั้งตารอคอยเต็มที่ แม้ช่วงแรกของการสร้างจะมีเรื่องให้ทีมงานเหนื่อยกันนิดหน่อยก็ตาม
พอ Dr. No ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามทำให้ United Artist ตกลงไฟเขียวให้กับภาคต่อของหนังบอนด์ทันที ทั้งยังเพิ่มทุนสร้างให้หลังจากภาคแรกใช้่ไปประมาณ 1 ล้าน มาภาคนี้ก็อัพขึ้นให้เป็น 2 ล้าน เรียกว่าจัดเต็มสุดตัวกันไปเลยทีเดียว