ผมดูเรื่องนี้ผ่านทาง Big Cinema ครับ ตอนนั้นกำลังประทับใจหนังเกี่ยวกับคุก เพราะได้ดู The Shawshank Recemption และ The Green Mile มา
ผมดูเรื่องนี้ผ่านทาง Big Cinema ครับ ตอนนั้นกำลังประทับใจหนังเกี่ยวกับคุก เพราะได้ดู The Shawshank Recemption และ The Green Mile มา
ภาคต่อแบบลงวีดีโอครับ แล้วก็เป็นภาคต่อแบบสแตนอโลน ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับภาคแรกครับ
บอกตรงๆ ว่าพอดูหนังแนวนี้มากๆ เข้านี่ เวลาใครชวนไปไหนผมชักจะไม่กล้าไปแล้วนะ 555 คือมันเริ่มหลอนน่ะครับ เริ่มระแวงแล้วว่าเราจะดวงซวยแจ็คพ็อตไปเจอเรื่องนรกๆ แบบนี้ไหมเนี่ย
เมสัน เพตทิตส์ (John Cena) อดีตทหารที่พลิกมาเป็นทนายและมีครอบครัวเล็กๆ น่ารัก แต่เขาก็รู้สึกว่าชีวิตช่างจำเจเหลือเกิน แล้วเซบาสเตียน (Christian Slater) เพื่อนเก่าก็ทาบทามให้เขากลับมาลงสนามอีกครั้ง โดยรับหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้กับนักข่าวสาวแคลร์ เวลลิงตัน (Alison Brie) ที่กำลังจะเสี่ยงภัยไปสัมภาษณ์ประธานาธิบดีเวเนกัสของพัลโดเนีย (Juan Pablo Raba)
แคโรไลน์ (Marisa Tomei) สาวเสิร์ฟที่มักผิดหวังในความรักอยู่ร่ำไป จนกระทั่งเธอได้รู้จักกับอดัม (Christian Slater) หนุ่มขี้อายที่ทำงานอยู่ด้วยกันในร้านอาหาร แล้วความรู้สึกดีๆ ระหว่างพวกเขาก็ก่อตัวขึ้นตามลำดับครับ
ผมเลือกดู We Can Be Heroes เพราะอยากเปิดหนังที่เด็กดูได้แบบง่ายๆ ให้ลูกดูครับ แล้วผลลัพธ์ก็ถือว่าโอเคนะ ลูกผมดูแล้วก็สนุกอยู่ ส่วนผมเองก็ว่าไม่เลวเหมือนกัน แม้ว่าจะมีบางจุดให้ตะขิดตะขวงก็ตาม
Bullet to the Head เป็นหนังแนวตำรวจวัยหนุ่มร่วมมือกับผู้ร้ายวัยเก๋าสู้กับพวกผู้ร้ายตัวเอ้ ซึ่งจะว่าไปก็ถือเป็นงานที่น่าจะถนัดของผู้กำกับ Walter Hill ที่เคยดังมากับ 48 Hrs. ทั้ง 2 ภาค แต่ผลที่ได้ถือว่ากลางๆ ครับ ไม่บวกแต่ก็ไม่ลบ
หลังจาก Hancock ทำเอาผมปรับอารมณ์ไม่ถูกเนื่องจากครึ่งแรกเป็นแนวทางฮีโร่ ส่วนครึ่งหลังแหกไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งผมชอบครึ่งแรกมากกว่าน่ะครับ ครึ่งหลังมันแหวกไปนิด แม้จะใหม่แต่ยังไม่กลมกล่อม (ถ้าเกลาอีกนิดท่าจะดี)
คุ้นๆ ว่าที่ผ่านมาพวกเราหลายคนสุมหัวแซวพี่ Nicolas Cage กันบ่อยๆ (ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น) เลยขอพูดถึงหนังของพี่แกบ้างให้หายคิดถึง
แม้ผลงานเรื่องแรกในฮอลลีวู้ดของ John Woo อย่าง Hard Target จะไม่ค่อยทำเงินสักเท่าไร แต่อย่างน้อยลีลาการบู๊เท่ห์ ยิงแบบสโลว์ ถือปืนสองมือ สไลด์ตัวไปลั่นกระสุน แอ็กชันทั้งหมดที่ Woo พยายามถ่ายทอดมันก็ยังเข้าตาคนดูกลุ่มหนึ่ง รวมถึงผู้สร้างหลายคนก็จับตามองครับเพราะของแบบนี้ถือว่าสดพอสมควรสำหรับฮอลลีวู้ดยุคนั้น อันทำให้เขาได้โอกาสที่ 2 ในการทำหนังสัญชาติอเมริกันเรื่องนี้ครับ