หนังปล้นเบาสมองแบบที่ทำให้นึกถึง Ocean’s Eleven และ Tower Heist ครับ เจุดต่างก็คือเหล่าตัวเอกที่มาทำการปล้นนั้น ไม่ใช่คนหนุ่ม แต่คือเหล่าผู้เฒ่าวัยดึกที่สังขารเริ่มจะไม่อำนวยแล้ว
หนังปล้นเบาสมองแบบที่ทำให้นึกถึง Ocean’s Eleven และ Tower Heist ครับ เจุดต่างก็คือเหล่าตัวเอกที่มาทำการปล้นนั้น ไม่ใช่คนหนุ่ม แต่คือเหล่าผู้เฒ่าวัยดึกที่สังขารเริ่มจะไม่อำนวยแล้ว
ดูจบแล้วก็บอกตัวเองว่า “หนังสนุกดีตามมาตรฐาน” แต่หลังจากนั้นก็นั่งคิดอยู่พักหนึ่งครับว่า “มาตรฐาน” ที่ว่านี่ ตอนเราดูมันในหนังก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรยากในการทำนะ แค่เดินเรื่องมันส์ เนื้อหาโอเค ดาราบู๊กันพอเหมาะ เท่านี้เราก็พอใจแล้ว… แต่เอาเข้าจริงผมว่ามันยากในการทำไม่น้อย และมีหนังไม่กี่เรื่องที่ทำสำเร็จได้
หลังจากภาคก่อนนำพาทั้ง Peter Sellers และผู้กำกับ Blake Edwards กลับมาดังได้อีกครั้ง ดังนั้นเรื่องการสร้างตอนต่อนี่แทบไม่ต้องพูดถึงครับ เพราะมันต้องทำอยู่แล้ว อีกทั้งภาคก่อนหนังได้ทิ้งปมปูเรื่องไว้เรียบร้อยว่ายังไงๆ ก็ต้องมีตอนต่อแน่ๆ
นี่คือหนังภาคต่อของตระกูล The Pink Panther ที่ผมจะแนะนำเป็นลำดับที่ 3 นะครับ ซึ่งเป็นการกลับมารับบทสารวัตรคลูโซอีกครั้งของ Peter Sellers หลังจาก A Shot in The Dark แต่ก็ต้องขอบอกเล่าเก้าสิบกันก่อนนะครับว่าจริงๆ แล้ว ก่อนการผจญภัยตอนนี้ มันยังมีหนังเกี่ยวกับสารวัตรคลูโซออกมาอีกเรื่องหนึ่งชื่อว่า Inspector Clouseau
สำหรับ The Pink Panther นี้ก็ถือกำเนิดจากการสร้างสรรค์ของ Maurice Richlin และ Blake Edwards ที่ร่วมเขียนเรื่องราวขึ้นมานะครับ เนื้อเรื่องก็เกี่ยวกับเซอร์ ชาร์ลส ลิตตัน (David Niven) บุคคลระดับสูงที่คนทั่วไปต่างรู้จัก แต่ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาก็คือ จอมโจรแฟนธ่อม หัวขโมยอันดับชื่อก้องที่เมื่อเล็งของชิ้นไหนแล้วต้องได้ทุกครั้งไป
ผมเคยบอกไว้ตั้งแต่สมัยที่ The Rock เริ่มเข้าวงการแสดงในเรื่อง The Scorpion King แล้วล่ะนะครับ (The Mummy Returns เป็นแค่บทรับเชิญครับ ต้องเรื่องหลังนี่ถึงจะเต็มตัว ) ก็กะว่าพี่แกจะมีแนวโน้มสูงมากๆ ที่จะโด่งดังเจริญรอยตามพี่บึ้กรุ่นเดอะ
ถือเป็นหนึ่งในหนังที่อยากดูที่สุดของปีครับ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังมากนักเพราะหนังปีนี้หาที่เข้าเป้าโดนใจได้ยากเหลือเกิน อีกทั้งได้ฟังเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับหนังมาพอสมควร เลยลดความคาดหวังลงไปได้เยอะ
หนังเรื่องนี้ก็เขียนบทโดยผู้ให้กำเนิด โปลิศจิตไม่ว่าง (Police Academy) นะครับ ดังนั้นแนวจึงคล้ายๆ กัน คราวนี้เปลี่ยนจากโรงเรียนตำรวจมาลงเรือดำน้ำ โดยทางการมีคำสั่งให้ ผู้บัญชาการเรือโทมัส ดอจ (Kelsey Grammer) นำเรือที่โคตรเก่า สมัยพระเจ้าเหายังทรงพระเยาว์ ออกไปปฏิบัติการ พูดง่ายๆ คือกะจะแกล้งโทมัสน่ะครับ ให้ทำพลาดจะได้ปลดระวางง่ายๆ แต่ปรากฎว่าไม่สำเร็จ เพราะทั้งโทมัสและลูกเรือต่างก็มีพิษสงรอบตัวแบบเพี้ยนๆ กันทั้งนั้น ไม่ยั่นหรอก แม้ว่าเรือจะโทรมแค่ไหนก็ตาม
นี่เป็นหนังอีกเรื่องที่การตั้งชื่อไทยทำให้เข้าใจผิดกันครับ เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ภาคต่อของคนเปลี่ยนหัวคน หรือ Re-Animator หรอกนะฮะ แต่เผอิญว่าทีมงานและนักแสดงส่วนมากจะยกกันมาจากหนังชุดนั้น ไม่ว่าจะ Jeffrey Combs หรือ Barbara Crampton และอีกอย่างก็คือหนังสร้างจากนิยายของ H.P. Lovecraft เจ้าเดียวกับที่แต่ง Re-Animator นั่นแหละ ก็เลยมีการเข้าใจผิดกันนึกว่าตอนต่อ
ปิดท้ายไตรภาค ด้วยการกลับมากันครบทีมทั้งออสติน พาวเวอร์ สายลับเทพบุตรนานาชาติ, ดร.อีวิล จอมวายร้ายที่หมายครองโลก, แฟต บัสตาร์ท ไอ้อ้วนจอมถ่อย (Mike Myers ทั้งสิ้น) มาตีกันเป็นหนสุดท้าย ครั้งนี้ ดร.อีวิลนอกจากจะหิ้วเอา มินิ มี (Verne Troyer) กลับมาด้วยแล้ว เขายังตามเอา โกลด์เมมเบอร์ (Mike Myers นั่นแหละ จะใครซะอีกเล่า) อาชญาการแห่งยุค 1975 กลับมาก่อการทลายโลกในยุคปัจจุบัน