เจมส์ บอนด์ตอน Goldeneye และ Tomorrow Never Dies ที่ Pierce Brosnan นำแสดงนั้นล้วนเป็นบทพิสูจน์ครับว่าบอนด์ประสบความสำเร็จใจการกลับมาครองใจผู้ชมในฐานะหนังแอ็กชันแถวหน้าอีกครั้ง
เจมส์ บอนด์ตอน Goldeneye และ Tomorrow Never Dies ที่ Pierce Brosnan นำแสดงนั้นล้วนเป็นบทพิสูจน์ครับว่าบอนด์ประสบความสำเร็จใจการกลับมาครองใจผู้ชมในฐานะหนังแอ็กชันแถวหน้าอีกครั้ง
เมื่อ Licence to Kill บอนด์ภาคก่อนหน้าไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนักในตลาดอเมริกาทำให้แผนการสร้างบอนด์ตอนใหม่ถูฏชะลอ และยิ่งชะลอหนักขึ้นไปอีกเมื่อบริษัท MGM/UA ผู้จัดจำหน่ายหนังชุดนี้มีปัญหาพิพาทกับบริษัท Danjaq ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ EON เจ้าของสิทธิ์หนังบอนด์
เมื่อ Roger Moore อำลาบทเจมส์ บอนด์แบบแน่นอนไปแล้ว การสรรหาดาราหนุ่มคนใหม่มาสวมวิญญาณสายลับ 007 ก็เริ่มต้นอีกครั้ง โดยครั้งนี้คนที่ได้รับการทาบทามเป็นหมายเลข 1 คือ Timothy Dalton ที่ Albert R. Broccoli อยากให้มาแสดงเป็นบอนด์ตั้งแต่สมัย On Her Majesty’s Secret Service (ปี 1969 โน่นน่ะครับ) แต่ Dalton เป็นคนปฏิเสธเพราะคิดว่าตนหนุ่มเกินไปสำหรับบทพยัคฆ์ร้ายบทนี้
หลังจากเจมส์ บอนด์ตอน Moonraker ประสบความสำเร็จอย่างสูง ทำให้ผู้อำนวยการสร้าง Albert R. Broccoli รู้สึกเบาใจ คลายความกดดันที่มีในการสร้างหนังบอนด์ลงไปมาก เพราะก่อนหน้านี้เขาต้องพยายามทำบอนด์ออกมาตามกระแสเพื่อดึงความนิยม
เจมส์ บอนด์ตอนที่แล้ว (Diamonds Are Forever) ประสบความสำเร็จมหาศาล ส่วนสำคัญก็ด้วยพลังดาราของ Sean Connery ทำให้คู่หูผู้สร้างอย่าง Albert R. Broccoli และ Harry Saltzman พยายามหว่านล้อมให้เขากลับมาเล่นเป็นบอนด์ต่อไป ถึงขั้นเสนอค่าตัวให้ถึง 5.5 ล้านเหรียญ แต่คราวนี้ยังไง Connery ก็โบกมืออำลา ยืนกรานว่าจะไม่กลับมาเป็นเจมส์ บอนด์อีก
Dr. No ว่าด้วยการผจญภัยครั้งแรกบนจอใหญ่ของสายลับอังกฤษรหัส 007 (ซึ่งรหัสนำหน้า 00 แสดงว่า มีใบอนุญาตฆ่า) นามว่าเจมส์ บอนด์ (Connery) ที่ถูกส่งไปจาไมก้าเพื่อสืบร่องรอยคดีฆาตกรรมเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับอังกฤษที่ชื่อสแตรงเวย์ แล้วเงื่อนงำทั้งหลายก็นำพาเขาไปพบกับอาชญากรลึกลับ ด็อกเตอร์โน (Joseph Wiseman) ผู้อยู่เบื้องหลังทั้งคดีฆาตกรรมและปฏิบัติการร้ายหมายก่อกวนความสงบสุขของโลก
ลองอ่านแนวหนังคร่าวๆ ก็พบว่าเข้าทางผมล่ะครับ เพราะชอบอยู่แล้วสำหรับหนังสไตล์ Love Actually ที่ว่าด้วยเรื่องราวชีวิตและความรักของคนหลายๆ คู่ที่ถูกบอกเล่าไปพร้อมกัน
ทุกการกระทำย่อมมีผลตามมาเสมอ บางอย่างก็จะมีผลตามมาอย่างรวดเร็วฉับพลัน แต่บางอย่างมันจะค่อยๆ ส่งผลตามมาอย่างช้าๆ ช้าจนเราอาจคิดว่ามันไม่เป็นอะไร…
ปีไหนไม่ได้ดูหนังของลุง Woody Allen มันคงเหมือนขาดอะไรไปอย่างน่ะครับ เพราะผมเองก็ตามดูหนังของลุงเขามากว่า 20 ปี จนแม้จะไม่รู้จักและไม่เคยเจอก็เถอะ แต่ก็รู้สึกประหนึ่งเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ในชีวิตไปแล้วล่ะ
หากหนังเรื่องนี้จะทำให้ท่านนึกถึง Alien ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ เพราะคนทำเขาบอกมาแต่เริ่มแล้วว่าหนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก Alien ต้นตำรับนั่นแหละ (หากจะมองว่าทำออกมาคารวะก็คงจะได้ครับ)