ถือเป็นไอเดียที่เข้าท่าครับสำหรับหนังเรื่องนี้ ที่จับเอาสูตรหนังคาวบอยมาเล่นแบบพลิกแพลงแบบที่ไม่ค่อยมีใครทำ
ถือเป็นไอเดียที่เข้าท่าครับสำหรับหนังเรื่องนี้ ที่จับเอาสูตรหนังคาวบอยมาเล่นแบบพลิกแพลงแบบที่ไม่ค่อยมีใครทำ
ภาคนี้เป็นภาคบีกินนิ่งนะครับ ย้อนไปเล่าสมัยที่ ผูู้พันเจมส์ แบรดด็อก (Chuck Norris) โดนจับไปค่ายกักกันในช่วงสงครามเวียดนาม หนังก็แสดงให้เห็นถึงความโหดในค่ายกักกัน ภายใต้การควบคุมของผู้พันหยิน (Soon-Tek Oh) และเมื่อเลือดของแบรดด็อกเดือดถึงขีดสุด เขาก็ตัดสินใจแหกค่ายนรกแห่งนี้
ผูู้พันเจมส์ แบรดด็อก (Chuck Norris) อดีตจี.ไอ. ที่ยังจดจำคืนอันเลวร้ายสมัยไปรบในสงครามเวียดนามได้ และเขาก็ได้รู้มาว่ายังมีทหารอเมริกันอีกมากติดอยู่ในค่ายกักกัน เขาจึงตัดสินใจหาลู่ทางเข้าไปช่วยทหาร อันนำมาสู่การรบเลือดเดือดตามสไตล์ Chuck Norris
มาต่อตอนที่ 3 เลยนะครับ กับตำนานของแวมไพร์จอมโหด ราดู (Anders Hove) ที่ยังคงหน้าด้านไม่ยอมตาย หลังจากภาคก่อน มิเชลล์ (Denice Duff) สาวสวยจากภาคแรกที่โดนกัดจนเป็นแวมไพร์ได้ร่วมมือกับน้องสาวของเธอที่ชื่อ รีเบคก้า (Melanie Shatner) ในการกำจัดราดู ซึ่งก็สำเร็จแล้วล่ะครับ แต่ว่าแม่ของราดูดันโผล่มาทำการจับตัวมิเชลล์ลงไป พร้อมทั้งใช้เลือดของเธอปลุกชีพราดูขึ้นมาอีกครั้ง
หนังไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่เคยได้เข้าโรงฉายในบ้านเราพร้อมชื่อไทยที่น่าจะจำกันได้
นี่คือภาคแรกของตำนานอีกบทของแวมไพร์นะครับ สร้างต่อกันหลายตอนด้วย
หนังสยองรุ่นเก่าจากค่าย Amicus เจ้าของเดียวกับที่สร้างหนังสยองแนว “หลายเรื่องสั้น in 1” อย่าง Dr. Terror’s House of Horrors, Tales From the Crypt, The Vault of Horror และ From Beyond the Grave ที่ออกมาตีตลาดในยุค 70 น่ะครับ
ดูเมื่อนานมาแล้วตั้งแต่เข้าโรงแต่ก็ไม่ได้รีวิวครับ เพราะจริงๆ คือไม่รู้จะเขียนอะไร ตอนนี้เวลาผ่านไป 8 ปีก็ยังไม่รู้จะวิวอะไรเหมือนเดิม 555
แรกเริ่มผมอยากดูหนังเรื่องนี้เพราะรู้สึกว่ามันน่าจะตอบโจทย์ที่อยู่ในใจผมครับ มันเป็นโจทย์แบบที่อาจเกิดกับคนมีอายุนิดๆ ได้ทุกเมื่อ
ไบรอัน โอ คอนเนอร์ (Paul Walker) กลับมาอีกครั้งครับ หลังจากคราวก่อนปล่อยให้โดมินิคหนีพ้นเงื้อมมือกฎหมายไป เขาเลยกลายเป็นเจ้าหน้าที่โดนบัญชีดำ