ภาคต่อของ The Mummy จากค่าย Hammer Films ครับ แต่สิ่งที่รู้สึกระหว่างดูคือรสชาติมันแตกต่าง ไม่ใช่ต่างแค่กับหนังชุดมัมมี่นี้นะครับ แต่มันต่างออกไปจากหนังสยองแนวมอนสเตอร์ที่ผลิตออกมาจากค่าย Hammer เลยล่ะ
ภาคต่อของ The Mummy จากค่าย Hammer Films ครับ แต่สิ่งที่รู้สึกระหว่างดูคือรสชาติมันแตกต่าง ไม่ใช่ต่างแค่กับหนังชุดมัมมี่นี้นะครับ แต่มันต่างออกไปจากหนังสยองแนวมอนสเตอร์ที่ผลิตออกมาจากค่าย Hammer เลยล่ะ
แล้วเราก็มาถึงตอนที่ 4 ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายของตำนานมัมมี่คาร์ริสแล้วนะครับ Lon Chaney Jr. ยังคงรับบทนี้เหมือนเดิมครับ ส่วนเหตุภาคนี้ก็เกิดหลังจากภาคที่แล้ว 25 ปี ซึ่งก็คือเหตุมาเกิดในปี 1999 นั่นเองครับ
นี่ก็เป็นภาคที่ 3 ของหนังชุด The Mummy’s Hand นะครับ เรื่องราวบทต่อมาของมัมมี่คาร์ริส (Lon Chaney Jr.) ที่ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นมาอีก ด้วยฝีมือของยูซุฟ เบย์ (John Carradine) ทายาทคนต่อมาของเอนโดเฮป (George Zucco) วายร้ายจากภาคแรกที่ยังไม่ยอมตายเสียที
หนังภาคต่อจาก The Mummy’s Hand ครับ โดยเนื้อเรื่องภาคนี้เป็นเหตุการณ์หลังจากภาคแรก 30 ปี กล่าวคือปีในหนังนั้นคือปี 1970 ครับ แล้วก็ได้ดาราหลักๆ กลับมา
นับเป็นตอนที่ 7 ของเรื่องราวเจ้าหมาบัดดี้แห่ง Air Bud แล้วนะครับ ซึ่งเรื่องในภาคนี้ก็มาเน้นที่ลูกๆ ทั้ง 5 ตัวของบัดดี้เป็นหลักแทน โดยคนสร้าง กำกับ และเขียนบทก็คือ Robert Vince ที่เริ่มทำ Air Bud มาตั้งแต่ภาค 6 แล้ว
หลังจากภาคที่แล้ว (ภาค 5) เรื่องของเจ้าหมาบัดดี้ก็เริ่มย่ำอยู่กับที่จนไม่ค่อยสนุกเหมือนตอนก่อนๆ แล้วก็โดนคนดูบ่นตามกันมาเป็นพรวน จนทำให้ทีมงานหยุดการสร้างตอนต่อของ Air Bud ลง แล้วก็ทิ้งช่วงนานเลยครับ ตั้ง 3 ปีแน่ะครับ ถึงจะมีการทำตอนใหม่ ซึ่งก็เหมือนว่าผู้สร้างจะเอาคำตำหนิไปปรับปรุงหนังชุดนี้ซะใหม่ จนได้ออกมาเป็น Air Buddies ที่ไม่ได้จับเอาน้องหมาไปเล่นกีฬาอะไรอีกต่อไป แต่ทำเป็นแนวสนุกน่ารักๆ โดยการเอาดารามาพากย์เสียงน้องหมาเพื่อเพิ่มสีสัน แล้วก็จับเรื่องในแนวผจญภัยโดยเฉพาะ
หันซ้ายขวา เปิดทีวีหรือวิทยุก็เจอแต่ข่าวน่าหนักหัว ผมก็เลยทำการสร้างสุขให้ตัวเองเล็กๆ น้อยๆ โดยการเอาหนังแนวน่ารักๆ ว่าด้วยหมาเก่งกีฬามาดูคลายเครียดซักหน่อยล่ะนะครับ
ตอนแรกก็ชั่งใจอยู่ว่าจะเขียนถึงหนังเรื่องนี้ดีไหม เพราะว่าตามจริงผมก็ไม่ถึงกับชอบอะไรมากครับ แต่พอคิดไปคิดมามันก็มีประเด็นชวนให้เขียน เนื่องด้วยผมเขียนเกี่ยวกับหนังคริสต์มาสไปหลายเรื่อง เลยทำให้เรื่องนี้มันมีอะไรที่สอดคล้องกับประเด็นที่ผมกำลังสังเกตอยู่พอดี
เมื่อพูดถึงหนังวันคริสต์มาสแล้ว ก็มีทั้งที่ผมชอบมากๆ หรือไม่ก็เฉยๆ และก็มีอีกไม่น้อยเหมือนกันที่เกือบจะชอบอยู่แล้วเชียว ถ้าได้นั่นอีกนิดนี่อีกหน่อยก็คงดี หนังก็คงกลมกล่อมอร่อยลิ้นมากขึ้นเยอะ ซึ่ง Christmas Eve เรื่องนี้ก็เป็นหนังที่อยู่ในข่ายนั้นครับ
หนังเรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกหลากอารมณ์ผสมๆ กันครับ แม้หน้าหนังจะว่าด้วยวันคริสต์มาส แต่ตัวหนังไม่ได้มาในแนว Feel Good ไม่ได้เต็มไปด้วยความแฮ้ปปี้แบบหนังเทศกาลทั่วๆ ไป แต่มันออกมาแนวตลกร้ายน่ะครับ