สำหรับผมแล้ว American Horror Story ปี 1 ถือเป็นออเดิร์ฟครับ ในขณะที่ปี 2 ถือว่าจัดเต็มมากขึ้นกว่าเดิม (และจนถึงนาทีนี้ ผมยังชอบปี 2 ที่สุดอยู่ครับ)
สำหรับผมแล้ว American Horror Story ปี 1 ถือเป็นออเดิร์ฟครับ ในขณะที่ปี 2 ถือว่าจัดเต็มมากขึ้นกว่าเดิม (และจนถึงนาทีนี้ ผมยังชอบปี 2 ที่สุดอยู่ครับ)
ได้ยินชื่อซีรี่ส์ American Horror Story มานานครับ แว่บแรกที่คิดเลยก็คือมันน่าจะเข้าทางนะ เพราะเป็นซีรี่ส์แนวสยองลึกลับที่จับเอาตำนานสยองของอเมริกันมายำรวมกัน โดยแต่ละปีก็จะเป็นเรื่องราวใหม่ แล้วก็ใช้ดาราชุดเดิมๆ กลับมาแสดง (แต่ก็จะเล่นเป็นบทใหม่ไปด้วย)
ปี 2012 ที่ผ่านมา ผมได้เรียนรู้ว่ามีหนังอยู่ 2 ประเภทที่ดูถูกไม่ได้เป็นอันขาด เพราะมันอาจสนุกกว่าที่คิดได้
นี่ก็เป็นผลงานระดับออสการ์อีกเรื่องครับ คว้าไป 5 รางวัลรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งหนังที่หลายคนมองว่าไม่น่าจะได้รางวัลที่ว่า เพราะปีนั้นมี The Ten Commandments เข้าชิงด้วย
รู้จัก Tom Shadyac ไหมครับ?
ในงานแจกรางวัลออสการ์ประจำปี 1952 มีหนัง 5 เรื่องที่ผ่านเข้าไปชิงในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่ Moulin Rouge (ไม่เกี่ยวข้องกับหนังปี 2001 ของ Baz Luhrmann นะครับ), Ivanhoe, The Quiet Man, High Noon และ The Greatest Show on Earth ซึ่งผลที่สุดแล้ว เรื่องหลังก็คว้าออสการ์ไปได้
ดันแคน แม็กเลน (Edward Arnold) ยอดนักสืบที่แม้จะตาบอดสนิท แต่ประสาทสัมผัสอื่นๆ ของเขาใช้งานได้ในระดับเทพครับ เขามักจะคลี่คลายคดีโดยใช้ประสาทสัมผัสที่เขามี อีกทั้งมีผู้ช่วยเป็นสุนัขคู่ใจนามว่าฟรายเดย์ และผู้ช่วยที่เป็นคนนามว่ามาร์ตี้ (Allen Jenkins)
ชื่อบอกว่าเป็นภาคต่อของหนัง Operation Pink Squad ซึ่งถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นหนังแอ็กชันน่ะนะครับ แต่อันนี้ดันโยกมาเป็๋นหนังผีซะ
หนังว่าด้วยกีฬาที่พะยี่ห้อโดย Disney ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาไม่เคยทำให้ผมผิดหวังครับ และสำหรับผมแล้ว หนังกีฬาเรื่องไหนที่มี Kevin Costner แสดงนำ ก็ไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเช่นกัน
Dragonheart 3: The Sorcerer’s Curse ภาคต่อแบบส่งตรงลงแผ่นของหนังในความทรงจำอีกเรื่องของผม