The Conference หนังเชือดเลือดสาดจากสวีเดนครับ ซึ่งก็จัดว่าดูได้เรื่อยๆ ไม่ถึงขั้นเยี่ยมแต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไร
The Conference หนังเชือดเลือดสาดจากสวีเดนครับ ซึ่งก็จัดว่าดูได้เรื่อยๆ ไม่ถึงขั้นเยี่ยมแต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไร
การตามมาดู The Nun II นี่ สำหรับผมเหมือนทำตามหน้าที่น่ะครับ ไหนๆ ก็ตามดูจักรวาล The Conjuring มาถึงป่านนี้แล้ว เขาทำออกมาก็ตามดูกันต่อไป โดยที่ใจนั้นก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย ยิ่งรู้ว่าหนังกำกับโดย Michael Chaves แห่ง The Curse of La Llorona และ The Conjuring: The Devil Made Me Do It ความคาดหวังยิ่งลดลงไปใหญ่
ไปๆ มาๆ ผมรู้สึกโอเคกับ Annabelle Comes Home มากกว่าที่คิดครับ ตามความรู้สึกเลยคือหนังอาจไม่ได้สนุกเข้าท่าเท่าภาค 2 แต่ก็มีอะไรมากกว่าภาคแรก ซ้ำยังมีอะไรที่น่ารักและน่าจดจำอยู่พอสมควร – บางคนอาจบอกว่า “นี่หนังผีไม่ใช่เหรอ? มีอะไรน่ารักด้วยเหรอ?” คำตอบคือ ใช่ครับ มันมีอยู่
ตอนแรกผมก็เข้าใจว่า The Curse of La Llorona นี่อยู่ในจักรวาลเดียวกับ The Conjuring น่ะนะครับ แต่ไปๆ มาๆ มันกลับไม่เชิงเป็นแบบนั้นแฮะ… เดี๋ยวเราจะมาว่าเรื่องนี้กันอีกทีครับ
นี่คืออนิเมชั่นที่ผมรักอย่างสุดหัวใจครับ มีกี่ดาวให้หมดใจ เต็ม 10 ให้ 10 เต็ม 100 ให้ 100 ไปเลย
ดีใจเสมอครับที่ได้ดูหนังแนวนี้ – หนังแนวดราม่าย้อนยุคไปวันวาน บอกเล่าถึงช่วงหนึ่งของชีวิตคน ได้รับรู้ความสุขความทุกข์ในชีวิตของพวกเขา พร้อมทั้งประสบการณ์อันจะกลายมาเป็นความทรงจำ นี่ล่ะครับถือเป็นแนวหนึ่งที่ผมโปรดปรานอย่างยิ่ง
The Boogeyman ถือเป็นหนังสยองระดับกลางๆ ครับ คือดูได้เรื่อยๆ มีเนือยอยู่หลายช่วงเหมือนกัน แต่ก็เข้าใจล่ะครับว่าคนทำคงอยากบอกเล่าเรื่องราวของตัวละครให้ครบถ้วนตามสิ่งที่อยากนำเสนอ ดังนั้นถ้าจะให้นิยามแนวของหนังเรื่องนี้ก็คงเป็นดราม่าผสมลึกลับสยองขวัญ – ว่าง่ายๆ คือดราม่าจัดว่าเยอะอยู่ครับ
Countdown หนังสยองขวัญที่มาในสไตล์คำสาปสั่งตายแบบ The Ring ครับ ว่าด้วยแอปมรณะที่สามารถทำนายวันตายของคนได้ บางคนก็อีกนานหลายสิบปีกว่าจะตาย แต่บางคนก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วัน หรือไม่กี่ชั่วโมง
การดูหนังป๋า Liam Neeson ของผมในระยะหลังๆ นี่อารมณ์มันจะคล้ายๆ กับตอนดูหนังยุคหลังของพี่ Steven Seagal น่ะครับ (หมายถึงยุคหลัง Under Siege แต่ก่อนถึงยุคหนังลงแผ่นน่ะนะครับ) คือไม่คาดหวังว่ามันจะเจ๋งแจ๋วแหว๋วอะไร แต่ขอให้ดูเอามันส์ได้สักเพลินนึงก็ดีใจแล้ว และสำหรับ The Ice Road เรื่องนี้ก็ถือว่าพอจะได้สักหนึ่งเพลินครับ
การดูหนังเรื่อง The VVitch นี่ทำให้ตระหนักเลยครับ ถึงความต่างระหว่างหนังดูเอาบันเทิงกับหนังหนักๆ สายคุณภาพ