หนังเรื่องนี้ดูแล้วก่อให้บังเกิดอารมณ์ก้ำกึ่ง เพราะจุดที่ชอบก็มีอยู่พอสมควร แต่จุดที่รู้สึกเรื่อยๆ ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน มันคือส่วนผสมระหว่างหนังสงครามการรบกับหนังกำลังภายในที่มีตัวละครมาประมือกันน่ะครับ
หนังเรื่องนี้ดูแล้วก่อให้บังเกิดอารมณ์ก้ำกึ่ง เพราะจุดที่ชอบก็มีอยู่พอสมควร แต่จุดที่รู้สึกเรื่อยๆ ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน มันคือส่วนผสมระหว่างหนังสงครามการรบกับหนังกำลังภายในที่มีตัวละครมาประมือกันน่ะครับ
“รหัส” และ “มนุษย์” มีความเหมือนกันมากๆ อยู่ 2 ประการใหญ่ๆ นั่นคือ “ซับซ้อน” และ “ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ”
เหตุการณ์ต่อเนื่องสานต่อเรื่องจากภาคแรกมาเลยครับ ตอนที่แล้วหลังจากสงครามระหว่างเอเลี่ยนกับพรีเดเตอร์บนพื้นโลกสิ้นสุดลงด้วยการตายกันเกลื่อน และเจ้าพรีเดเตอร์ตัวสุดท้ายที่มาตายเอาตอนจบภาคก่อนเกิดมีตัวเอเลี่ยนฝังอยู่ แล้วมันก็แหวกอกออกมาตามธรรมเนียม
ตอนรู้ข่าวการสร้างหนังเรื่องนี้ สารภาพว่าแอบคิดนะครับว่าจะรีเมคเรื่องนี้ทำไม เพราะของเดิมมันเข้าขั้นคลาสสิกจนไม่น่าจะต้องเอามาทำอะไรอีกแล้ว ปล่อยให้เป็นตำนานไปก็ได้
เรื่องราวภาค 5 ก็ต่อจากภาค 4 หลังจากริคกี้ เมเยอร์ส (Gordon Currie) เด็กหนุ่มผู้กล้าหาญได้ปลุกชีพและเป็นนายคนใหม่ของเหล่าหุ่นผีทั้งหลาย พร้อมทั้งยังได้เป็นนายของอังเดร ทูลอน (Guy Rolfe) ที่บัดนี้ก็ได้กลายเป็นหุ่นผีไปอีกหนึ่งตัว ทั้งหมดก็ร่วมมือกันต่อต้านความชั่วร้ายที่มาในรูปแบบหุ่นปีศาจอีกพวกหนึ่ง
อาวุธลับอันทรงประสิทธิภาพของแวมไพร์ คือ เสน่ห์อันรัญจวนยวนใจ ยั่วให้คนหลงใหลไปกับมัน เหยื่อน้อยใหญ่เมื่อโดนอาวุธนี้แล้วก็ยากจะหนีพ้น บ้างก็หลงใหลรูปโฉมชวนพิสมัย บ้างพอสัมผัสก็ปลุกตัณหาหลากประการขึ้นมาในดวงจิต บ้างก็เกิดปรารถนาอยากกลายเป็นแวมไพร์เลยก็มี
เหตุผลหลักเลยที่ทำให้ผมไปดู King Arthur ก็เพราะอยากจะรู้ว่า “มันจะเป็นแบบที่ผมคิดไหม?”ครั้นพอได้ดูแล้ว ก็พบว่าเป็นแบบที่คิดจริงๆ ครับ
บอกได้เลยครับว่าสิ่งที่ชนะใจผมจริงๆ ในหนังเรื่องนี้คือภาพครับ ภาพสวยมาก วิวงามๆ สถานที่ต่างๆ มันชวนให้ตื่นตา ทำเอาคนชอบหนังภาพวิวสวยๆ อย่างผมเพลินกับหนังไปได้พอสมควรทีเดียว
ผลงานระยะหลังๆ ของ Steven Spielberg นี่หวังขึ้นหิ้งอย่างเดียวเลยครับ ประมาณว่าทำหนังเอาใจผู้ชมเพื่อสะสมทรัพย์มาเยอะแล้ว พอตอนนี้เขาขึ้นแท่นเป็นตำนานและไม่ต้องสนเรื่องรายได้มากเท่าเมื่อก่อน ก็เลยขอเลือกทำหนังดีๆ ประดับวงการเป็นงานหลักซะเลย
การได้ดูหนังเรื่องนี้เหมือนได้แวะไปเจอเพื่อนเก่ายังไงยังงั้นครับ เพราะอารมณ์ โทนหนัง จังหวะการเล่า และเนื้อหาสาระมันชวนให้นึกถึงหนังสมัยยุค 90 -2000 ขึ้นมาเลย