ผมนั้นเป็นแฟนผลงานของพี่มาโนช หรือ M. Night Shyamalan มานานหลายปีครับ แม้เรื่องก่อนๆ อย่าง The Happening จะไม่ค่อยมีคนปลื้ม แต่ผมก็ยังโอกับแนวคิดและการนำเสนอของพี่ท่านอยู่ ทว่าพอเจอเรื่องนี้เข้าก็ใบ้รับประทานเหมือนกันครับ
ผมนั้นเป็นแฟนผลงานของพี่มาโนช หรือ M. Night Shyamalan มานานหลายปีครับ แม้เรื่องก่อนๆ อย่าง The Happening จะไม่ค่อยมีคนปลื้ม แต่ผมก็ยังโอกับแนวคิดและการนำเสนอของพี่ท่านอยู่ ทว่าพอเจอเรื่องนี้เข้าก็ใบ้รับประทานเหมือนกันครับ
นี่เป็นหนังตลกที่ดูเพลินเกินคาดหมายครับ ตอนแรกก็นึกว่าจะธรรมดา เรื่อยๆ ไม่ขำมาก แต่ไปๆ มาๆ หนังทำได้สนุกไม่น้อยเลยล่ะครับ
กิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งในช่วงนี้ก็คือขุดเอาหนังเก่าๆ ที่ชื่นชอบในอดีตมาดูเพื่อรำลึกความหลัง ขณะเดียวกันก็เพื่อพิสูจน์ด้วยว่าหนังที่เราว่าชอบว่าดีในตอนนั้น พอมาถึงตอนนี้ดีกรีความปลื้มจะยังคงเดิมอยู่หรือไม่
ถือเป็นหนังสไตล์ Austin Powers ฉบับสายลับผิวดำน่ะนะครับ เมื่อวายร้ายฉายา เดอะ แมน มีแผนร้ายต่ออเมริกา ตั้งแต่ปล่อยสารเสพติดที่จะทำให้คนไร้สติไม่ต่างจากซอมบี้ ไปจนถึงแผนร้ายต่อพี่น้องผิวสีร่วมชาติ ทำให้ยอดสายลับตัวกลั่น (Eddie Griffin) ถูกตามตัวมารับภารกิจในการขัดขวางแผนร้ายนี้
จอช โคแว็กซ์ (Ben Stiller) ผู้จัดการอพาร์ตเมนต์หรูกลางกรุงนิวยอร์กที่ทำงานอย่างดีเยี่ยมมาตลอด ทั้งยังผูกมิตรกับผู้อยู่อาศัยทุกคนอย่างเป็นกันเอง และหนึ่งในคนที่เขาสนิทที่สุดก็คือ อาร์เธอร์ ชอว์ (Alan Alda) มหาเศรษฐีนักลงทุนที่จอชเองก็เอาเงินมากโขไปฝากให้เขาช่วยลงทุน ทั้งเงินตัวเองและเงินกองทุนของพนักงาน ก็หวังว่ามันจะได้ผลตอบแทนทวีคูณคืนมาให้กับทุกคนด้วยนั่นแหละครับ
ดูตัวอย่างแล้วก็เตรียมใจเข้าไปเสพความเว่อร์วังแบบเต็มขั้นครับ ยิ่งทุนสร้างตั้ง $250 ล้าน มันก็ต้องจัดเต็มแอ็กชันและฉากทำลายล้างแบบระเบิดระเบ้อแน่นอน (พูดถึงรายได้ ตอนนี้ทั่วโลกโกยไปแล้ว $531 ล้าน ถึงจุดคุ้มทุนแล้วครับ ไม่เกินสัปดาห์นี้ก็จะได้งบโฆษณาคืน และเข้าสู่โซนกำไรแน่นอน)
ฉากที่ผมอยากดูที่สุดใน Fast and Furious 7 คือฉากสรุปส่งท้ายบทของ Paul Walker ครับ
หนังชุดนี้กลายเป็นหลักไมล์แห่งความมันส์ไปแล้วครับ คือมั่นใจได้เลยว่าภาคต่อๆ มาต้องทำเงินและต้องออกมาน่าพอใจ ดูเอามันส์ก็ได้ ดูเอาลุ้นหรือดูรถสวยก็ได้ ดาราในเรื่องก็คัดฝีมือกันมาทั้งนั้น
คงไม่ต้องสาธยายยาวกับหนังเรื่องนี้ครับ นอกจากประเด็นหลักๆ ว่าผมดูหนังเรื่องนี้แล้ว และผลลงเอยก็คือ “ชอบ”
โดยส่วนตัวแล้วผมชื่นชมในพัฒนาการของหนังชุดนี้มากครับ เริ่มจากการเป็นหนังว่าด้วยรถแข่ง เน้นที่ความเร็ว ความแรง แต่พอทำไป 3 ภาคแล้วทีมงานสัมผัสได้ถึงการย่ำอยู่กับที่ ไม่ว่าจะรู้ด้วยตนเองหรือรู้ด้วยตัวเลขรายได้ก็ตาม (เพราะภาค 3 ทำรายได้แค่ครึ่งเดียวของภาค 2) จึงทำให้เกิดการปรับโครงสร้างใหม่ให้กับหนังชุดนี้