The Royal Treatment เรื่องนี้กะขายความสดใสของ Laura Marano (A Cinderella Story: Christmas Wish) แบบเต็มที่ครับ ซึ่งก็ไม่แปลกครับเพราะหนังน่ะอำนวยการสร้างโดยตัว Laura เอง บวกด้วยแม่ (Ellen Marano) และพี่ของเธอ (Vanessa Marano)
The Royal Treatment เรื่องนี้กะขายความสดใสของ Laura Marano (A Cinderella Story: Christmas Wish) แบบเต็มที่ครับ ซึ่งก็ไม่แปลกครับเพราะหนังน่ะอำนวยการสร้างโดยตัว Laura เอง บวกด้วยแม่ (Ellen Marano) และพี่ของเธอ (Vanessa Marano)
นึกๆ ไปแล้วก็ตกใจเหมือนกันนะครับ อายุของ What Happens in Vegas เรื่องนี้ปาเข้าไป 15 ปีแล้ว – เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ
รู้ไหมครับว่าตอนที่ Disney Plus มาลุยตลาดสตรีมในบ้านเราน่ะ ผมแอบคาดหวังไว้ 2 อย่างใหญ่ๆ อย่างแรกคือเริ่มมีความหวังตอนเห็นทางค่ายเริ่มผลิตหนังแนวครอบครัวแบบที่ห่างหายไปนาน ก็แอบหวังว่าจะมีคอนเทนต์แนวนี้มาเรื่อยๆ โดยเฉพาะหนังคริสต์มาสน่ะนะครับ – แต่มาถึงตอนนี้ก็คงต้องปรับความคาดหวังไป เพราะดูจากความถี่และปริมาณแล้ว คอนเทนต์แนวที่ว่าก็ดูไม่ค่อยจะมีมาสักเท่าไร
That’s Amor เรื่องนี้ถือว่ามีทั้งจุดที่โอและยังโอได้อีกผสมกันอยู่ครับ
สำหรับเรื่อง Love in the Villa ความรู้สึกที่ผมมีต่อหนังแบ่งออกเป็น 2 ช่วงตามหนังที่ถือว่าแบ่งออกได้เป็น 2 ห้วงครับ
Falling Inn Love เรื่องนี้น่ารักครับ น่ารักในระดับที่ออกจะมากกว่าที่ผมคาดไว้ซะอีก
Resort to Love อีกหนึ่งหนังรักของ Netflix ที่ดูได้เรื่อยๆ ดูแล้วสบายใจพอสมควร
กิจวัตรยามเช้าในช่วงหลายวันมานี้ของผม หลังจากส่งลูกไปโรงเรียนแล้ว ก็จะมาเปิดดูหนัง Feel Good หรือไม่ก็หนังคริสต์มาสดูครับ ยอมรับเลยว่าดูแล้วมันสุขใจ และพลอยทำให้ช่วงเวลาที่เหลือของวันมันเต็มไปด้วยบรรยากาศดีๆ แม้จะมีปัญหาแทรกซ้อนเข้ามาบ้าง แต่ก็รู้สึกว่าเรารับมือกับมันได้ด้วยใจที่เบิกบาน
Adrift เป็นหนังที่พอดูจบแล้วนี่ผมประทับใจอยู่ลึกๆ นะครับ มันรู้สึกดีที่เราได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ – ไม่ใช่ว่ารู้สึกดีที่ได้เห็นคนประสบภัยนะครับ หมายถึงพอได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว มันรู้สึกดีอยู่ภายในที่เราได้มีโอกาสรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ มันคือเรื่องราวที่ผสมผสานระหว่างความรักและการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ตัวเล็กๆ กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
ขอเกริ่นก่อนสำหรับท่านที่ไม่เคยดูหนังชุดนี้นะครับ ว่านี่ถือเป็นตอนที่ 4 ของหนังชุด Time for Me to Come Home for Christmas ที่สร้างโดยได้แรงบันดาลใจมาจากเพลง Time for Me to Come Home ของ Blake Shelton และจากหนังสือชื่อเดียวกับเพลงที่เขียนโดย Dorothy Shackleford (ซึ่งก็คือแม่ของ Blake Shelton) และ Travis Thrasher