ถือเป็นหนังที่ผมรู้สึกสมประสงค์มากๆ เรื่องหนึ่งครับ ประมาณว่าตอนดูตัวอย่างคาดหวังอะไรไว้ก็ได้ตามนั้นเป๊ะ ไม่ขาดแล้วก็ไม่เกิน
ถือเป็นหนังที่ผมรู้สึกสมประสงค์มากๆ เรื่องหนึ่งครับ ประมาณว่าตอนดูตัวอย่างคาดหวังอะไรไว้ก็ได้ตามนั้นเป๊ะ ไม่ขาดแล้วก็ไม่เกิน
ม้อด การ์เรตต์ (Chloë Grace Moretz) นักบินหญิงแห่งกองทัพที่จำต้องโดยสารเครื่องบินลำหนึ่งไปพร้อมกับพัสดุหนึ่งชิ้น แต่กลายเป็นว่าบนเครื่องเธอต้องเผชิญกับการถูกเหยียดหยามเนื่องด้วยความที่เธอเป็นเพศหญิง แต่ยิ่งกว่านั้นคือดูเหมือนจะมีตัวประหลาดอะไรสักอย่างจ้องจะสร้างหายนะให้เครื่องบินล้ำนั้นอยู่ จนบอกได้ว่าการบินหนนี้ของเธอ ดูท่าว่าจะอันตรายกว่าที่คิด
เหลียงคุน (ฝานเส้าหวง, Fan Siu Wong) ตั้งใจฝึกวิชาที่วัดเส้าหลินเพื่อเอามาใช้ปกป้องคนที่รัก แต่เมื่ออันธพาลอย่างหูต้าไห่ (Edward Chui) ข่มเหงกันเกินไปเหลียงคุนเลยทนไม่ได้ และออกโรงจัดการกับมันแบบขั้นเด็ดขาด
ภาคแรกโกยกำไรลัลล้า ได้มา $62 ล้านจากทั่วโลก (ทุนแค่ $5.3 ล้าน) ดังนั้นภาคต่อต้องมาครับ โดยผู้กำกับคนเดิม Johannes Roberts กลับมาทำร่วมกับ Ernest Riera ที่ร่วมเขียนบทเหมือนเดิม
ก่อนผมจะดูภาคนี้ ผมก็เอา 3 ภาคแรกมาดูเรียงกันครับ โดยสรุปก็คือภาคแรกสนุกดี ส่วนภาคสองผมค่อนข้างเฉย และภาค 3 ก็กลับมาถูกใจผมอีกครั้ง ครั้นพอดูภาค 4 จบใจก็ถามเลยครับว่า ภาค 5 จะมาไหมเนี่ย?
สวี่อีเฉิง หัวหน้ากลุ่มห้าบุปผชาติรุ่นที่ 5 ได้ส่งมอบเศียรพระแห่งหอโชติช่วงสมัยพระนางบูเช็กเทียนให้กับชาวญี่ปุ่นจนทำให้คนมองว่าตระกูลนี้ขายชาติและถูกดูหมิ่นเหยียดหยามมายันรุ่นหลาน
มีคำร่ำลือว่ามุกสวรรค์คือของศักดิ์สิทธิ์ที่ว่ากันว่าสามารถชุบชีวิตคนได้ และแก๊งโจรกรรมเจ้าของฉายา “แก๊งแฝด” ก็หมายตาและส่งคนมาแย่งชิง โดยที่ผู้คุมกันมุกอย่าง จี๋เสียง (หงจินเป่า, Sammo Kam-Bo Hung) และหลิวซี (อู๋จิง, Wu Jing) ก็ไม่อาจพิทักษ์มันไว้ได้ – จริงๆ คือในการชิงครั้งนั้นไม่มีใครได้ไปครับ เพราะมุกดันไปตกอยู่กลางทางที่ซึ่งทั้งฝ่ายดีและฝ่ายร้ายก็ไม่รู้
เตียหยุน (หวงเย่อหัว, Felix Wong) คือผู้นำกลุ่มกบฏที่หมายจะนำเอาทองคำที่ถูกซ่อนไว้มาก่อการล้มล้างราชวงศ์ชิงแล้วก็สร้างชาติขึ้นมาใหม่ แต่แล้วองค์ชาย (หลี่เหลียงเหว่ย, Ray Lui) ก็ทรงมีรับสั่งให้มั่นเทียนหง (หนี่หงเจี๋ย, Ni Hong Jie) โจรสาวกับก๊กของนางออกไปจับตัวเตียหยุนมาให้จงได้ ซึ่งในที่สุดเตียหยุนก็หนีไปจนถึงหมู่บ้านหุบเขาทองคำที่ใช้ชีวิตแบบตัดขาดจากโลกภายนอกอันวุ่นวาย
เมื่อผมดูสารคดีชุดนี้จบ ผมก็รู้สึกโหวงไประยะหนึ่งครับ มันเหมือนลอยๆ มันเหมือนรู้สึกในหัวว่า “จบแล้วหรือนี่?” – ผมบรรยายแบบนี้ตอนนี้หลายท่านอาจงงว่ามันไปไงมาไง มาครับ เดี๋ยวผมบรรยายให้ละเอียดกว่านี้ดีกว่า
ภาคแรกถือว่าทำได้ดี ภาคสองก็โอเคกว่าที่คิด ครั้นมาดูภาค 3 ผมก็เผื่อใจไม่คาดหวังตามสูตรครับ เผื่อความโอเคมันจะลดลงตามจำนวนภาค แต่ที่ไหนได้ ภาคนี้ก็ใช้ได้อีกเหมือนกัน ถือว่าพอฟัดพอเหวี่ยงกับภาค 2 เลย