แม้ตัวหนังจะไม่ได้ฮิตอะไรมากมาย แต่ผมก็ชอบนะครับ มันดูสนุก เพลินๆ แบบชวนให้ Feel Good ดีเหมือนกัน
แม้ตัวหนังจะไม่ได้ฮิตอะไรมากมาย แต่ผมก็ชอบนะครับ มันดูสนุก เพลินๆ แบบชวนให้ Feel Good ดีเหมือนกัน
ในบรรดาหนังที่มีเนื้อหาว่าด้วย “การทะลุเวลา – แก้อดีต – เปลี่ยนอนาคต” ที่ผมโปรดสุดๆ เป็นเรื่องแรกในชีวิต ก็หนีไม่พ้นไตรภาค Back to the Future ส่วนเรื่องต่อมาก็อยากขอยกตำแหน่งให้กับหนังเรื่อง Frequency นี้ครับ
พูดได้เต็มปากว่าผมชอบภาคนี้เป็นอันดับ 2 รองจากภาคแรก
การรีวิว Scream ภาคนี้คงต้องมีการแยกพูดถึง ระหว่างคุณภาพของหนัง กับเรื่องความชอบส่วนตัวครับ
สำหรับหนังสยองหลายๆ เรื่องแล้ว ภาคต่อจะก่อกำเนิดเมื่อภาคแรกทำเงินเยอะพอ แต่กับ Scream แล้ว ไอเดียภาคต่อได้เกิดขึ้นตั้งแต่บทภาพยนตร์ภาคแรกเพิ่งเขียนเสร็จหมาดๆ
นี่คือหนังสยองแนวไล่ฆ่าที่ทำออกมาดีได้ใจคนดู ส่งผลให้หนังดังครับ ในขณะที่ค่ายหนังต่างๆ ก็พากันสร้างหนังแนวสยองไล่ฆ่าตามกันออกมาเป็นพรวน จนจำได้ว่าปีนั้นและถัดมาอีก 2 ปีก็ยังมีหนังแนวนี้ตามออกมาอีกเรื่อยๆ ครับ
กิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งในช่วงนี้ก็คือขุดเอาหนังเก่าๆ ที่ชื่นชอบในอดีตมาดูเพื่อรำลึกความหลัง ขณะเดียวกันก็เพื่อพิสูจน์ด้วยว่าหนังที่เราว่าชอบว่าดีในตอนนั้น พอมาถึงตอนนี้ดีกรีความปลื้มจะยังคงเดิมอยู่หรือไม่
มาเพื่อปิดตำนานล่ะนะครับ สำหรับตอนที่ 4 ของเจ้าแวมไพร์อมตะหน้าด้านฆ่าไม่ตายนามว่า ราดู วลาดิสลัส (Anders Hove) กับศิลาโลหิตของมัน หลังจากภาคที่แล้วแกโดนแดดแผดเผาจนน่าจะตายไปได้แล้ว แต่มาภาคนี้คนทำก็เล่นง่ายครับ แกโดนแดดเผาจริง แต่ตอนร่วงลงมา ดันลงน้ำครับ แดดเลยหยุดเผาเพราะมีน้ำดับ (คนมันจะทำตอนต่อน่ะเน้อะ) แล้วก็ค่อยๆ ฟื้นตัวเพื่อกลับมาล่าพวกตัวเอกอีกครั้ง
มาต่อตอนที่ 3 เลยนะครับ กับตำนานของแวมไพร์จอมโหด ราดู (Anders Hove) ที่ยังคงหน้าด้านไม่ยอมตาย หลังจากภาคก่อน มิเชลล์ (Denice Duff) สาวสวยจากภาคแรกที่โดนกัดจนเป็นแวมไพร์ได้ร่วมมือกับน้องสาวของเธอที่ชื่อ รีเบคก้า (Melanie Shatner) ในการกำจัดราดู ซึ่งก็สำเร็จแล้วล่ะครับ แต่ว่าแม่ของราดูดันโผล่มาทำการจับตัวมิเชลล์ลงไป พร้อมทั้งใช้เลือดของเธอปลุกชีพราดูขึ้นมาอีกครั้ง
หนังไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่เคยได้เข้าโรงฉายในบ้านเราพร้อมชื่อไทยที่น่าจะจำกันได้