เรื่องราวของ ดาบมังกรหยก ฉบับจอใหญ่ครับ ได้ หลี่เหลียนเจี๋ย มารับบทเตียบ่อกี้ ผู้ทีี่ต้องสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็กเพราะถูกชาวยุทธบีบคั้นให้เผยที่ซ่อนของราชสีห์ขนทองเจี่ยซุ่น
เรื่องราวของ ดาบมังกรหยก ฉบับจอใหญ่ครับ ได้ หลี่เหลียนเจี๋ย มารับบทเตียบ่อกี้ ผู้ทีี่ต้องสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็กเพราะถูกชาวยุทธบีบคั้นให้เผยที่ซ่อนของราชสีห์ขนทองเจี่ยซุ่น
หนังตลกผสมโรแมนติกที่ถือว่าดูได้เพลินกว่าที่คิดครับ
ผมไม่สามารถจะรับประกันได้ว่าทุกท่านจะชอบหนังเรื่องนี้หรือไม่น่ะนะครับ แต่บอกได้อย่างหนึ่งว่า ผมสนุกกับหนังเรื่องนี้พอสมควรทีเดียว
The Karate Kid ถือเป็นหนึ่งในหนังที่ประทับแน่นอยู่ในความทรงจำของผม แม้ว่าผมจะไม่ได้เอาหนังชุดนี้มาดูบ่อยๆ และว่าตามจริงก็ไม่ได้ถึงขนาดชอบสุดๆ แต่มันมี Impact ที่สำคัญประการหนึ่งต่อตัวผม จนผมยังนึกถึงอยู่เป็นระยะๆ ครับ
เรื่องนี้ถือเป็นผลงานที่ทำให้เฉินหลงเป็นที่รู้จักแบบเต็มๆ ในอเมริกาครับ (ก่อนหน้านี้เฮียเขาก็มีผลงานที่พยายามบุกไปอเมริกาอย่าง Battle Creek Brawl และ The Protector แต่ก็ยังไม่ปัง)
ภาคต่อของ Zhang Sanfeng: Peerless Hero ครับ ได้ Yichen Liu กลับมารับบทจางซานฟงอีกครั้ง โดยหนนี้เขาต้องรับมือกับมารยุทธภพรายใหม่ นั่นคือ ซิวหลัวมู่ ที่หมายจะควบคุมชาวยุทธด้วยโอสถวิเศษ (ที่แท้จริงแล้วมีพิษอันแสนจะร้ายกาจ) และมันยังต้องการไขความลับของหีบแปดทิศที่กล่าวกันว่ามีสุดยอดวิชาซ่อนไว้ภายในนั้น
เฮียเฉินหลงกลับมาอีกครั้งในหนังวิ่งสู้ฟัดโดยที่คราวนี้เป็นเรื่องราวใหม่ครับ กล่าวคือตัวเอกไม่ใช่เฉินกูกู๋อีกต่อไป (แต่ก็ยังแซ่เฉินอยู่) แต่ก็ยังว่าด้วยภารกิจเสี่ยงตายจับผู้ร้ายของนายตำรวจอยู่เหมือนเดิม
เหตุผลที่อยากดูหนังเรื่องนี้ไม่ใช่อะไรหรอกครับ คือเห็นตัวอย่างแล้วพบว่าหนังมันไม่เน้น Effect ไม่เน้น CG แบบที่หนังสมัยนี้ชอบทำกันออกมา แต่บู๊กันด้วยหมัดกับเท้าแล้วก็ใช้สลิง ใช้ระเบิดตูมตามตามสูตรหนังกำลังภายในสมัยก่อน ก็เลยรู้สึกสนใจขึ้นมา
ผมรู้จัก Chadwick Boseman เป็นครั้งแรก จากหนังเรื่องนี้ครับ
ภาคแรกผมชอบครับ มาภาคสองก็ทำเอาผมเป๋ไปเหมือนกัน เพราะมันคือการเอาภาคแรกมาทำใหม่ (แต่ความสนุกหล่นหายไปเยอะ) ดังนั้นภาค 3 ผมเลยไม่กล้าคาดหวังใดๆ