เรื่องนี้ก็เอามาเปิดดูซ้ำอีกรอบหลังจากดูรอบแรกไปเมื่อสมัยที่ออกแผ่นใหม่ๆ และสำหรับการดูรอบนี้ ผมว่าผมชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้นแฮะ
ส่วนหนึ่งอาจเพราะหนังแนวนี้มีน้อยลงน่ะครับ พวกแนวแก๊งสเตอร์อาชญากรรมที่ส่วนใหญ่จะไปทำเป็นซีรี่ส์เสียมากกว่า ซึ่งในแง่หนึ่งซีรี่ส์ก็อาจจะเล่าเรื่องและลงรายละเอียดได้เยอะกว่า แต่กระนั้นหนังแนวนี้แบบลงโรงมันก็มีเสน่ห์ในแบบของมัน และคนทำก็ต้องเก่งพอดูครับในการรวบเรื่องราวมาเล่าให้พอเหมาะ ให้อิ่มพอดีในเวลาประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ
อย่างเรื่องนี้ก็จับเอาเรื่องจริงของอาชญากรอันดับ 1 ที่ทางการหมายหัวในยุค 30 จอห์น ดิลลิงเจอร์ (Johnny Depp) ที่มักจะปล้นธนาคารและขึ้นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งอยู่เป็นประจำ จน เจ. เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ (Billy Crudup) ต้องตั้งทีมพิเศษขึ้นมาเพื่อล่าหัวดิลลิงเจอร์โดยเฉพาะ และ เมลวิน เพอร์วิส (Christian Bale) มือปราบจากสำนักงานสอบสวนกลาง ก็ได้รับมอบอำนาจให้เป็นหัวหน้าหน่วยพิเศษนี้ – แล้วการตามล่าระหว่างมือปราบกับอาชญากรอันดับหนึ่งก็เริ่มต้นครับ
สิ่งหนึ่งที่ผมต้องยอมรับเลยก็คือ พลังสำคัญของหนังคือการแสดงแบบเอาอยู่ของ Depp ครับ พี่แกคือพลังแกนหลักของหนังก็ว่าได้ แล้วบทหนังยังทำการเล่าคาแรคเตอร์ของดิลลิงเจอร์ให้ออกแนวโจรเจ้าเสน่ห์ อาชญากรที่ประชาชนชื่นชอบ คือถ้าเปรียบกับสมัยนี้พี่ท่านก็คงเทียบเท่าได้กับอินฟลูฯ หรือไอดอลน่ะครับ ประมาณว่าแม้จะทำหลายอย่างที่ผิดกฎหมาย แต่เขาก็มีหลักการในแบบของตัวเอง อย่างหนึ่งเลยก็คือจะปล้นแต่เงินของธนาคาร ไม่ปล้นจากประชาชนทั่วไปที่อยู่ตรงนั้น เลยไม่น่าแปลกใจหากประชาชนทั่วไปจะกลายเป็นชื่นชอบคลั่งไคล้ดิลลิงเจอร์แทนที่จะเกลียดกลัว
แล้วไหนพี่แกยังมีทักษะวาทศิลป์ชั้นอ๋องอีก เอาแค่ซีนที่เขาให้สัมภาษณ์ตอนโดนจับก็ต้องยอมรับแล้วล่ะครับว่านายคนนี้มีเสน่ห์จริง ซึ่งทั้งหมดที่ผมบอกไปนี่มันจะไม่เกิดขึ้นเลยครับ หากดาราที่มาเล่นมือไม่ถึง ถ่ายทอดลีลาลื่นไหลของดิลลิงเจอร์ฉบับนี้ออกมาไม่ได้ – ดังนั้นการเลือก Depp มาเล่นนี่ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมากๆ เพราะเขาใส่ชีวิตชีวาและมิติลงไปในตัวละครนี้ได้อย่างเยี่ยมจริงๆ
ในขณะที่ Bale นี่ถือว่ามีพื้นที่บนจอน้อยกว่า ได้ทำอะไรน้อยกว่า ยิ่งหลังจากกลางเรื่องไปนี่พี่เขาแทบจะหายไปเลย ซึ่งโดยส่วนตัวก็แอบรู้สึกล่ะครับว่าหนังยังใช้ Bale ได้ไม่คุ้มเท่าไหร่ เพราะจริงๆ พี่เขาน่ะมีฝีมือครับ แต่บทกลับไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่อย่างน้อย Bale ก็ยังไว้ลายแสดงออกมาได้ในระดับที่ดีอยู่ เพียงแค่อาจจะไม่เด่นเท่านั้น
ส่วนคนอื่นๆก็ถือว่าผลัดกันขโมยซีนตามอัตภาพครับ ซึ่งก็คือเหล่าเพื่อนพ้องชาวแก๊งของดิลลิงเจอร์ที่บทบนจออาจไม่เยอะ แต่โผล่มาทีไรก็จับสายตาคนดูได้เรื่อยๆ และรายที่ถือว่าเด่นกว่าใครก็คงเป็น Marion Cotillard ในบทบิลลี่ แม่สาวที่กุมหัวใจดิลลิงเจอร์ รายนี้ก็ถ่ายทอดบทออกมาได้ดีเหมือนกันครับ คือตอนต้นๆ นี่ดูแล้วก็เชื่อนะว่าเธอยังไม่รู้สึกอะไรกับดิลลิงเจอร์ แต่พอถึงตอนที่ดิลลิงเจอร์ไปตามเธอถึงที่ทำงาน ฉากนั้นนี่แววตาของเธอบ่งบอกเลยครับว่าเธอหันมาสนใจผู้ชายคนนี้แบบจริงๆ จังๆ เข้าให้แล้ว
หนังกำกับโดย Michael Mann เจ้าของงานชั้นดีอย่าง The Last of the Mohicans, Heat, The Insider และ Collateral ซึ่งแม้เรื่องนี้อาจยังไม่ถึงขั้นเด็ดเทียบเท่าหนังเหล่านั้น แต่ก็พูดได้เต็มปากล่ะครับว่านี่เป็นอีกหนึ่งหนังดี ไม่ว่าจะในแง่คุณภาพหรือความบันเทิงหนังก็ตอบโจทย์ได้หมด อย่างในแง่ความสนุกนี่ผมว่าหนังดูได้เรื่อยๆ เลยนะ อย่างที่บอกว่าแค่ดู Depp เล่นก็อย่างคุ้มแล้ว และการเล่าเรื่องก็ถือว่าลื่นไหล เหตุการณ์ที่ร้อยเรียงลงมาในหนังมันชวนให้เราอยากตามดูต่อไปว่าถัดจากนี้แล้วดิลลิงเจอร์จะได้เจอกับอะไรอีก? เขาจะถูกจับไหม? เขาจะรอดไหม? เขาจะตายไหม? ซึ่งถ้าหนังเรื่องไหนดูแล้วทำให้เราอยากรู้เรื่องในฉากต่อๆ ไปนี่ ผมถือว่าหนังตอบโจทย์บันเทิงได้ผ่าน
ส่วนในแง่คุณภาพก็ต้องชมงานสร้างล่ะครับ ทั้งฉาก ของประกอบฉาก เสื้อผ้าหน้าผมทั้งหลายถือว่าทำได้ดี ซึ่งอันนี้ก็ไม่แปลกใจครับเพราะลองว่าลงทุนไปถึง $100 ล้านเนี่ย อะไรเหล่านี้ก็เนรมิตได้อยู่แล้ว – ก็ถือว่าถึงฟอร์มครับ
และถ้าถามว่าชอบอะไรสุดในบรรดาองค์ประกอบเสริมของหนัง ผมก็ขอยกให้เพลง Ten Million Slaves ของ Otis Taylor ที่พอใส่ลงมาทีไรอารมณ์มันจะไปกันได้กับหนังครับ มันให้กลิ่นอายความเป็นคาวบอยตะวันตก ผสมกับอารมณ์คันทรี่ลูกทุ่ง ถือเป็นอะไรที่เสริมความน่าสนใจให้กับหนังได้อย่างดี
ในแง่รายได้ก็ถือว่าพอคุ้มทุนครับ อย่างที่บอกว่าลงทุนราว $100 ล้าน แล้วก็ได้คืนมาจากทั่วโลกประมาณ $214 ล้าน ก็ถือว่าพอโปะทุนได้ เพียงแต่อาจยังไม่กำไรเท่านั้นแหละ – แต่ป่านนี้จากการขายแผ่นลงสตรีมมิ่งทั้งหลาย ผมว่าน่าจะกำไรได้แล้วนะ
และสิ่งหนึ่งที่ต้องมีระหว่างดูหนังเรื่องนี้ก็คือวิจารณญาณนะครับ ดูแล้วต้องแยกแยะด้วยว่าแม้ดิลลิงเจอร์จะเท่ห์แค่ไหน แต่เขาก็คืออาชญากร เขาทำผิด ดังนั้นหากคิดอยากจะเท่ห์บ้าง ก็ควรเท่ห์แบบไม่ผิดกฎหมาย เท่ห์แบบไม่เดือดร้อนใคร – อย่าลืมครับว่าสิ่งที่เราทำไป ไม่ว่าจะอะไร มันจะมีผลลัพธ์ย้อนกลับมาสู่เราเสมอ เหมือนที่ดิลลิงเจอร์และพรรคพวกได้รับในท้ายที่สุดนั่นแหละ
สรุปว่าหนังถือว่าน่าพอใจเลยล่ะครับ สำหรับแนวแก๊งสเตอร์ย้อนยุคว่าด้วยชีวิตของอาชญากร ในแง่แอ็คชั่นมันอาจจะไม่ได้ระห่ำหรือมันส์อะไรมาก แต่ของดีมันอยู่ตรงการแสดงของเหล่าดารา – โดยเฉพาะ Depp – และการเล่าเรื่องที่พอเหมาะกำลังดี ดูแล้วทำให้รู้สึกอยากดูต่อไปจนจบ ไม่มีช่วงอืดเอื่อยน่าเบื่อ ถือเป็นหนังดราม่าทริลเลอร์ย้อนยุคที่ควรค่าแก่การรับชมสักครั้งครา แต่ก็ต้องขอเสริมอีกนิดว่า หนังไม่ได้มาในสายแอ็คชั่นบู๊ระห่ำกระหน่ำระเบิดครับ แต่เป็นบู๊กันยิงกันแบบแก๊งสเตอร์น่ะ
สองดาวกับสามส่วนสี่ดวงครับ
(7.5/10)
หมวดหมู่:Biography, Crime, Drama, History, Movie Reviews, Recommended Movies













