Action

Blood Diamond (2006) เทพบุตรเพชรสีเลือด

ถือเป็นหนังแอ็คชั่นผจญภัยผสมดราม่าที่มีความเอพิคยิ่งใหญ่ไม่ใช่น้อยครับ ทั้งในแง่เนื้อเรื่องและฉากงานสร้างต่างๆ ด้วย และที่สำคัญคือหนังทำได้ถึงเครื่องมากทีเดียว

หนังจับเอาเรื่องของการลักลอบค้าเพชรจากแอฟริกามาบอกเล่าครับ โดยเปิดมาก็แนะนำให้เรารู้จักกับโซโลมอน แวนดี้ (Djimon Hounsou) คนหาปลาที่โดนพรากจากครอบครัวมาเป็นคนงานเหมือง แล้วทีนี้เขาก็ขุดเจอเพชรสีชมพูเข้า ก็เลยซ่อนมันไว้ก่อนจะถูกพวกทหารจับตัวไปจากเหมือง

จากนั้นเขาก็ได้เจอกับแดนนี่ อาร์เชอร์ (Leonardo DiCaprio) อดีตทหารที่ผันตัวมาเป็นพ่อค้าที่ขายทุกสิ่งให้กับทุกฝ่ายถ้าเงินถึง ซึ่งแดนนี่ก็ได้รู้เรื่องเพชรนี่เข้าจึงเสนอตัวกับโซโลมอนว่ามาจับมือกันไหม เดี๋ยวเขาหาคนซื้อให้ จากนั้นก็แบ่งเงินกัน แล้วนั่นล่ะครับคือจุดเริ่มของการผจญภัยฝ่าสมรภูมิสงครามเพื่อไปเอาเพชรที่ซ่อนไว้กลับมา

ผมชอบตั้งแต่ตอนดูรอบแรกครับ รู้สึกว่าหนังมันเข้มข้นถึงใจ ดูไปแล้วติดหนึบแม้หนังจะยาวเกือบ 2 ชั่วโมงครั้งก็ตาม ซึ่งส่วนตัวนี่ผมไว้ใจผู้กำกับ Edward Zwick อยู่แล้ว ลองว่าเป็นหนังแนวเอพิค แนวสงคราม หรือดราม่าเข้มๆ นี่พี่ท่านสามารถเคี่ยวให้มันข้นได้เสมอ อย่าง Glory, Legends of the Fall, Courage Under Fire, The Siege และ The Last Samurai แต่ละเรื่องล้วนมีดีน่าจดจำ แล้วก็แน่นอนครับว่าเรื่องนี้ก็เข้าข่ายขึ้นทำเนียบหนังดีในใจผมไปอีกเรื่อง

ผมว่าการเล่าเรื่องของ Zwick เขาตรงเป้าน่ะครับ แต่ละฉากที่ใส่ลงมานั้นไม่มีช่วงไหนเลยที่ออกแนวเอ้อระเหยหรือใส่ลงมาเพื่อยืดหนังให้ครบเวลา แต่ละช่วงแต่ละตอนมันมีผลต่อเรื่องราว หรือไม่ก็เป็นการสะท้อนมิติตัวละคร เอาง่ายๆ อย่างฉากที่แดนนี่คุยกับนักข่าวสาวแม็ดดี้ โบเวน (Jennifer Connelly) ในช่วงต้นเรื่อง ดูเผินๆ เหมือนชายหญิงคู่หนึ่งจีบกัน แสดงความสนใจในตัวกันและกัน แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้บทสนทนานั้นมันมีหลายอย่างครับ ไม่ว่าจะการตะล่อมหลอกถามของแม็ดดี้ หรือการหยั่งเชิงของแดนนี่ หรือพอถึงจุดหนึ่งเมื่อบทสนทนาเริ่มมีความขัดแย้งพวกเขาก็จะแสดงตัวตนออกมา

หรืออย่างบทพูดที่สะท้อนความจริงผ่านสายตาตัวละคร เช่นตอนที่แดนนี่พูดกับแม็ดดี้ในฐานะคนที่อยู่แอฟริกามานานว่า “พวกอาสาจะมาอยู่ที่นี่นานพอที่จะตระหนักว่าไม่ได้ทำประโยชน์ให้ใคร ส่วนรัฐบาลก็จะอยากอยู่ในอำนาจจนกระทั่งแสวงหาประโยชน์ได้มากพอแล้วก็ลี้ภัยไปอยู่ทีอื่น ส่วนพวกกบฎ ก็ไม่แน่ใจในเรื่องยึดอำนาจ เพราะไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ยังไง – นี่แหละแอฟริกา”

อีกตอนก็ช่วงที่แดนนี่เล่าว่าเพราะอะไรเขาถึงหันหลังให้การเป็นทหาร นั่นคือในอดีตเขาก็ทำสิ่งที่เรียกว่ารับใช้ชาติ แต่พอตระหนักได้ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นเพียงเครื่องมือของเหล่าคนที่มีอำนาจมากกว่าเท่านั้น เขาก็เลยตาสว่าง “ตอนแรกเรานึกว่าเราสู้กับคอมมิวนิสต์ แต่เอาเข้าจริงๆ แต่ละฝ่ายก็ทำเพื่อผลประโยชน์อย่างเดียว ไม่ว่าจะเอางาช้าง เอาเพชร…” อันนี้ก็ทำให้เรามองภาพสิ่งที่แดนนี่เป็นได้ชัดขึ้น

เนี่ยครับ ตลอดทั้งเรื่องในแต่ละช่วงบทสนทนามันจะมีรายละเอียดให้สังเกต – ไม่ว่าจะมุมมองของตัวละครนั้นซึ่งบ่งบอกว่าเขาผ่านอะไรหรือยังไม่เคยผ่านอะไรมาบ้าง หรือจุดประสงค์แท้จริงที่แฝงไว้ใต้คำพูดที่ดูธรรมดา ซึ่งก็ต้องขอชมคนเขียนบทคิดพล็อตอย่าง C. Gaby Mitchell และ Charles Leavitt เลยครับที่สร้างบทได้แน่น เขียนบทพูดได้ และตัวเรื่องยังมีปมมีอะไรให้คนดูอยากรู้อยากติดตามไปจนจบ

แล้วดาราก็เป็นอีกหนึ่งของดีครับ ทุกคนสวมบทบาทได้อย่างเจ๋ง DiCaprio นั้นถือว่าไหลลื่นไปกับบทได้ดี แต่คนที่ดูเด่นมากๆ นี่ต้องยกให้ Hounsou ที่เล่นเรื่องไหนก็ถึงขีดเรื่องนั้น เอาแค่ฉากตอนท้ายที่เขาต้องเกลี้ยมกล่อมตัวละครหนึ่งแล้วก็พูดไปน้ำตาไหลไป แค่นี้ก็ได้ใจแล้วครับ ส่วน Connelly ก็อาจจะไม่ได้มีพื้นที่ในหนังมากเท่า 2 คนแรก แต่เธอคนนี้ก็สามารถถ่ายทอดบทนักข่าวสาวผู้ไม่กลัวอันตราย (ซ้ำยังไหวพริบดี) ได้อย่างน่าชื่นชม

อีกคนที่บทไม่เยอะ แต่ผมชอบเป็นการส่วนตัวคือ Arnold Vosloo หรือพี่อิมโฮเทปแห่ง The Mummy มาเรื่องนี้แสดงเป็น ผู้การโคทเซีย นายทหารที่ทางหนึ่งก็ขายอาวุธให้พวกกบฎ แล้วอีกทางก็รับงานจากรัฐบาลมากวาดล้างพวกกบฎอีกที รายนี้ถือว่าดูโหดและเลือดเย็นได้โดยไม่ต้องปั้นหน้าให้ดูโหดแต่อย่างใด

ส่วนพาร์ทแอ็คชั่นก็ถือว่าทำได้ลุ้นระทึกและตื่นเต้นเอาเรื่องครับ ซึ่งครึ่งแรกนี่จะยังไม่ค่อยแอ็คชั่นเท่าไหร่ แต่ครึ่งหลังนี่มีอะไรให้ระทึกไหลมาเรื่อยๆ ส่วนตัวผมมองว่าหนังดูมีแอ็คชั่นมากกว่าที่คิดนะ ตอนแรกนึกว่าจะเน้นไปทางดราม่าทริลเลอร์เป็นหลัก แต่ไปๆ มาๆ หนังก็พาให้ตัวละลครต้องบู๊สู้ฝ่าดงกระสุนไม่ใช่น้อยเลย ซึ่งก็แน่นอนว่าหนังสนุกขึ้นก็เพราะสารพัดแอ็คชั่นเหล่านี้ด้วยครับ

ส่วนประเด็นเรื่องการค้าเพชรที่จริงๆ ผิดกฎหมายแต่กลายเป็นว่าถูกทำให้ถูกกฎหมายซะงั้นก็ก็ทำให้เข้าใจความเทาของโลกนี้มากขึ้น ซึ่งหนังเปิดประเด็นว่าการค้าเพชรในเขตสงครามอย่างแอฟริกานั้นถือว่าผิดกฎหมาย แต่ก็ใช่ว่าจะค้าไม่ได้ แค่ย้ายเพชรที่ได้จากแผ่นดินนี้ไปอยู่ในที่อื่น (ที่ไม่ผิดกฎหมาย) แล้วก็บอกว่าได้เพชรจากที่นั่น แค่นี้ก็สามารถฟอกเพชรให้ถูกกฎหมายได้ แล้วผู้จำหน่ายรายใหญ่ทั้งหลายก็แค่หลับหูหลับตา แล้วก็ควบคุมราคาเพชรต่อ – โดยการควบคุมปริมาณเพชรในตลาดให้มีเพียงระดับหนึ่ง ไม่ให้มีมากเกินจนส่งผลต่อราคาเพชร วิธีการก็คือเอาเพชรบางส่วนไปเก็บไว้ แล้วค่อยๆ ทยอยปล่อยออกมาตามอุปสงค์และอุปทาน

แล้วเพชรทั้งหลายที่ถูกขายไปก็เกี่ยวข้องกับสงครามตรงที่ เพชรเหล่านั้นถูกขุดมาครอบครองโดยกลุ่มก้อนฝ่ายต่างๆ ซึ่ก็จะนำเพชรที่ได้ไปแลกเป็นอาวุธเอามาประหัตประหารคนบนแผ่นดินเดียวกันต่อไป

แดนนี่ก็สรุปประเด็นนี้ด้วยคำพูดที่ว่า “คนเหล่านี้อาจไม่ได้ส่งเสริมสงคราม แต่ก็มีส่วนเอื้อสถานการณ์ให้สงครามดำเนินต่อไป”

อีกฉากหนึ่งที่ดูแล้วติดอยู่ในหัวก็คือตอนที่พวกตัวเอกขับรถจะเดินทางไปหาผู้การโคทเซีย ปรากฏว่าระหว่างทางมีเด็ก 2 คนถือปืนตั้งด่านขวางทางอยู่ พอเห็นดังนั้นแดนนี่ก็รีบบอกให้เบนจามิน (Basil Wallace) ที่เป็นคนขับรถรีบขับฝ่าไป แต่เบนจามินซึ่งเป็นมองโลกในแง่ดี และคอยช่วยเหลือเหล่าเด็กที่ถูกล้างสมองให้กลับเป็นคนดีก็เลือกที่จะหยุดรถและพยายามเจรจา – ผลลงเอยคือเด็กพวกนั้นกระหน่ำยิงใส่ จนแดนนี่ต้องเป็นคนคว้าพวงมาลัยแล้วขับฝ่าไปจากตรงนั้นแทบไม่ทัน

ผมว่ามันสะท้อนความจริงในสิ่งที่โลกนี้เป็นน่ะครับ โลกมันไม่ได้สวยหรือไม่สวย มันแค่เป็นไปตามเหตุปัจจัย แล้วก็บอกตรงๆ ว่าผมก็อยากนะ อยากให้โลกมันสวยโลกมันงาม อยากให้คนเราสื่อสารและหันหน้าเข้าหากันได้แบบง่ายๆ แต่ความจริงมันหาได้ง่ายเช่นนั้นไม่

ผมก็เคยครับ เคยโลกสวยอยู่ระยะหนึ่งเหมือนกัน แต่พอได้เจอหลากหลายเหตุการณ์ในชีวิตก็ถึงได้ตระหนักว่าโลกมันก็เป็นในแบบที่มันเป็นนั่นแหละ บางครั้งก็สวย บางครั้งก็เจอคนคุยรู้เรื่อง เจรจากันได้ แต่บางครั้งก็ไม่สวย ชนิดที่ต่อให้เราพูดดี คุยดี สุภาพนอบน้อม หรือยกมือไหว้เคารพอีกฝ่ายแค่ไหน ก็ไม่สามารถยุติปัญหาลงได้ ทั้งๆ ที่ปัญหานั้นก็ไม่ได้ใหญ่ระดับสงครามสักหน่อย

มาฟังเกร็ดจากหนังกันนิดนึงครับ เรามาเริ่มกันที่ในตอนแรกนั้นมีการเล็งไว้ว่าจะให้ Heath Ledger, Brad Pitt, Christian Bale และ Orlando Bloom มารับบทแดนนี่ แต่สุดท้ายผู้กำกับ Edward Zwick ก็เล็งไปที่บุคคลเพียง 2 คน ซึ่งก็คือ DiCaprio และ Russell Crowe ก่อนที่รายแรกจะคว้าบทนี้ไปครอง

ส่วนบทแม็ดดี้ก่อนจะมาลงที่ Connelly ก็มีการเล็งไปที่ดาราสาวอย่าง Angelina Jolie, Julia Roberts, Uma Thurman, Jennifer Garner และ Hilary Swank แต่อันนี้โดยส่วนตัวผมว่า Connelly เหมาะสุดแล้วครับ

อีกประเด็นที่ผมเพิ่งมารู้ทีหลังก็คือ หนังมี Fan Theory ด้วยครับ ประมาณว่ามีคนดูหนังเรื่องนี้แล้วสังเกตเชื่อมโยงแล้วก็คิดว่าตัวละครแดนนี่ อาร์เชอร์นั้นน่าจะมีเชื้อ HIV เหตุผลก็เพราะปฏิกิริยาของแดนนี่ตอนที่หญิงขายบริการนางหนึ่งบอกกับเขาว่า เธอนั้นปลอดเชื้อ HIV แล้วแดนนี่ตอบกลับไปประมาณว่า “เคยได้ยินแบบนั้นมาแล้ว” แล้วก็ทำท่าเหมือนไม่เชื่อ – นอกจากนี้แดนนี่ยังพยายามรักษาระยะห่างกับแม็ดดี้ และไม่มีอะไรกับเธอทั้งๆ ที่เขาเกือบจะมีโอกาส และอีกหนึ่งข้อสังเกตคือเขาพยายามจะไม่ให้โซโลมอนมาสัมผัสตัวเขา (หลังจากเขามีแผลเลือดออกเพราะโดนยิงตอนท้าย) ราวกับกลัวว่าเลือดจะไปโดนตัวโซโลมอน

ซึ่งทฤษฎีนี้ก็มีคนที่เห็นด้วยอยู่ แต่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและเลือกจะไม่รับทฤษฎีนี้ก็มีครับ ซึ่งพวกเขามีเหตุผลว่า ถ้าพวกเขาเชื่อตามนี้ ก็จะทำให้มุมมองที่ว่าที่แดนนี่พยายามทำสิ่งถูกต้องนั้น ก็เพราะความมีจิตสำนึกของตนเอง ถูกแทนที่ด้วย “ที่แดนนี่ทำดีไปก็เพราะเขาจะมีชีวิตอีกไม่นานแล้ว ก็เลยเลือกทำความดีแค่นั้น ไม่ได้มาจากจิตสำนึกที่รู้ผิดชอบชั่วดี” – ก็แล้วแต่จะว่ากันไปครับ

แล้วหนังทำเงินไหม? คำตอบก็คือยังทำเงินไม่คุ้มทุนครับ เพราะทุนน่ะ $100 ล้าน แต่ทำเงินทั่วโลกไปเพียง $171.7 ล้าน ซึ่งในบ้านตัวเองนี่ทำเงินแค่ $57 ล้านครับ แต่ป่านนี้ทุนน่าจะคืนแล้วล่ะ

สรุปว่านี่คืออีกหนึ่งหนังที่ควรค่าแก่การรับชมครับ ดูเอาบันเทิงก็ได้ เอาคุณภาพก็ได้ เอาแอ็คชั่นผจญภัยก็ได้ หรือจะเอาประเด็นสาระสะท้อนความจริงสีเทาของโลกก็ได้ เรียกว่าครบเครื่องครบรส

สามดาวครับ

(8/10)