ตอนนี้ว่าด้วยกะโหลกเด็กที่ถูกพบในเม็กซิโกที่กล่าวกันว่าอาจเป็นมนุษย์ต่างดาวเพราะรูปทรงและรายละเอียดของกะโหลกนี้ดูมีความผิดแผกแตกต่างจากกะโหลกมนุษย์ทั่วๆ ไป

ฝ่ายที่เชื่อว่ากะโหลกนี้คือมนุษย์ต่างดาวก็มาพร้อมข้อมูลว่ากะโหลกนี้มีข้อแตกต่างทางกายภาพที่สำคัญถึง 25 จุด ไม่ว่าจะเบ้าตาที่ตื้นมาก, ไม่มีไซนัส, ไม่มีสันคิ้ว, ไม่มีโหนกท้ายทอย เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งบางคนก็เชื่อว่านี่อาจเป็นหลักฐานการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตลูกผสมระหว่างมนุษย์กับสายพันธุ์ต่างดาว

ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็มองว่า นี่น่าจะเป็นกะโหลกของเด็กที่มีความผิดปกติแต่กำเนิด มีภาวะสมองคั่งน้ำ เกิดจากน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังมารวมกัน แต่ขณะเดียวกันก็มีคนที่อ้างว่าเคยได้คุยกับผู้เชี่ยวชาญเรื่องกายวิภาคของเด็กจำนวนหนึ่ง ซึ่งทุกคนล้วนเห็นตรงกันว่านี่ไม่ใช่กะโหลกของเด็กที่มีความผิดปกติ แต่ขณะเดียวกันก็ยังบอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร

ส่วนเรื่องที่ว่ามนุษย์ต่างดาวจะมาผสมพันธุ์กับมนุษย์นั้น คนที่ไม่เชื่อก็มองว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะขนาดสิ่งมีชีวิตที่สายพันธุ์ใกล้ๆ กับมนุษย์อย่างชิมแปนซีก็ยังไม่สามารถผสมพันธุ์กันได้เลย ดังนั้นต่อให้มีมนุษย์จากดาวอื่นมาจริงๆ มันเป็นไปได้แค่ไหนที่สายพันธุ์ของเขาจะใกล้กับเรามากสุดๆ จนถึงขั้นผสมพันธุ์กันได้

แล้วก็ยังมีประเด็นเกี่ยวกับ DNA ของกะโหลกนี้ที่เคยได้รับการตรวจสอบแล้ว พบว่ามีส่วนหนึ่งที่เป็นมนุษย์แต่ก็ยังมีส่วนอื่นๆ ที่ยังระบุไม่ได้ว่าเป็นมนุษย์ ซึ่งคนที่เชื่อก็บอกว่า นี่ไงคือหลักฐาน ส่วนที่ยังระบุไม่ได้นี่แหละที่หมายถึงว่ากะโหลกนี้เกี่ยวข้องกับสายพันธุ์อื่น ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็บอกว่า การที่ส่วนหนึ่งของกะโหลกนี้ระบุว่าเป็นมนุษย์ นั่นแหละที่บอกว่าจริงๆ แล้วเจ้าของกะโหลกนี้คือมนุษย์ ส่วนที่ยังระบุไม่ได้นั่นก็คือความผิดปกติไง

… เอาตรงๆ เลยนะครับ ระหว่างดูเนี่ย ตอนแรกผมสนใจในเชิงข้อมูลนะ แต่พอดูไปๆ ความสนใจผมมันย้ายไปที่แต่ละคนที่มาให้สัมภาษณ์แทน สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้เลยก็คือ แต่ละคนเนี่ย ไม่ว่าจะอยู่ในฝ่ายเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แต่สิ่งที่พวกเขาพูดออกมานั้นมันจะเจือไว้ด้วยความรู้สึกที่บ่งบอกว่าพวกเขาเคยเจอกับปฏิกิริยาเชิงลบจากคนอีกกลุ่มมาก่อน พอฟังไปเราเลยจะได้ยินคำกล่าวในเชิงตัดพ้อ เชิงน้อยใจ เชิงรำคาญ หรือเชิงไม่พอใจ

เข้าใจได้ครับว่าแต่ละฝ่ายต่างก็เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนคิดหรือค้นพบ แล้วก็เข้าใจอีกเหมือนกันหากต่างฝ่ายต่างจะมีคำถามว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่คล้อยตามสักที การดูรายการนี้มาระยะหนึ่งก็ทำให้เข้าใจอะไรเหล่านี้มากขึ้น ในแง่หนึ่งก็ทำให้เข้าใจความเป็นไปของโลกมนุษย์มากขึ้น แล้วก็เข้าใจว่าทำไมหลายๆ ปัญหา – หลายๆ ความขัดแย้ง – หลายๆ ความเบาะแว้งถึงไม่เคยจางหายไปจากโลก

แล้วผมก็นึกถึงสิ่งที่กิล กริสซั่ม ตัวเอกจากซีรี่ส์ CSI เคยพูดเอาไว้ในตอน Shooting Stars ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวว่า “ผมแน่ใจว่า ถ้ามีสิ่งอื่นข้างนอกนั้น มองลงมายังโลกจากที่ไหนสักแห่งในจักรวาลอันกว้างใหญ่… พวกเขาคงฉลาดพอที่จะไม่มายุ่งกับเรา”

สองดาวครึ่งครับ

(7/10)