Drama

A Quiet Place: Day One (2024) ดินแดนไร้เสียง: วันที่หนึ่ง

ก็ถือเป็นภาคแยกของหนัง A Quiet Place น่ะนะครับ ที่ตัดมาเล่าเหตุการณ์วันแรกตอนที่พวกต่างดาวบุกโดยจะมาโฟกัสในมหานครนิวยอร์คแทน

ภาคนี้ John Krasinski ยังตามมาเขียนบทให้ครับ ร่วมกับ Michael Sarnoski ซึ่งรายหลังควบเก้าอี้ผู้กำกับด้วย ซึ่งก่อนจะมาทำเรื่องนี้เขาก็เคยกำกับเรื่อง Pig มาก่อน – ที่ Nicolas Cage นำแสดงน่ะครับ

ถ้าว่าตามความรู้สึกแล้ว ผมรู้สึกเรื่อยๆ กับภาคนี้ครับ คือดูได้ แต่ไม่ถึงกับชอบเท่า 2 ภาคแรกที่จัดว่าออกรสและถึงเครื่องมากกว่า มาว่ากันที่ความตื่นเต้นก่อนเลยนะครับ จริงๆ ภาคนี้น่ะมีฉากไล่ล่า ฉากอาละวาด และฉากทำลายล้างของพวกต่างดาวในปริมาณที่ไม่น้อย แต่กลายเป็นว่าความตื่นเต้นมันไม่มากเท่าไหร่ อันนี้รู้สึกเลยว่า Sarnoski ยังปรุงฉากเหล่านี้ได้ไม่ระทึกหรือชวนลุ้นแบบเต็มๆ – คือมันยังสยองหรือขนลุกไม่เท่ากับที่ 2 ภาคแรกเคยทำไว้

และบางจังหวะนี่รู้สึกเลยครับว่า CG ยังไม่เนียน ซึ่งอันนี้พอเข้าใจได้ครับแม้จะได้ทุนถึง $67 ล้านก็ตาม แต่ด้วยความที่เหตุมันมาเกิดในเมือง การจะเนรมิตหรือแต่งโน่นลบนี่มันเลยอาจต้องใช้ทุนมากกว่านี้ แต่พอได้มาแค่นี้ก็ต้องทำเท่าที่ทำได้ อันส่งผลให้หลายช่วงมันดูไม่เนียน และพอมันไม่เนียนแล้ว ความรู้สึก “จริง” แบบภาคก่อนๆ มันเลยถูกลดทอนไปด้วย

และอีกหนึ่งโจทย์ที่ผมเห็นใจคนทำอยู่ก็คือเรื่องมิติและสายสัมพันธ์ของตัวละคร ที่ 2 ภาคแรกมันจะเล่าได้ง่ายหน่อยเพราะตัวละครหลักคือครอบครัวเดียวกัน และยังมีการสื่อสารด้วยภาษาใบ้ซึ่งก็เกือบจะเท่ากับการคุยกันแบบปกตินั่นแหละ เลยทำให้การสื่ออารมณ์ระหว่างกันมันลื่นและดูมีพลัง ในขณะที่ภาคนี้ตัวละครหลักเอาจริงๆ คือคนแปลกหน้าน่ะครับ ไม่เคยเจอกันมาก่อน แล้วยังคุยกันไม่ค่อยได้ด้วย เพราะต้องเงียบเข้าไว้ แล้วต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้ใช้ภาษามือ การสื่อสารมันเลยออกจะยากอยู่บ้าง

แต่กระนั้นหนังก็ยังมีฉากที่พวกเขาได้โอกาสในการสื่อสารกันบ้างนั่นแหละครับ แต่ด้วยความที่มันต้องจำกัดการส่งเสียง ตัวละครก็เลยสื่อสารกันไม่มาก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่มันเลยต้องก่อตัวโดยการไม่พูดกันหรือพูดกันน้อยๆ ซึ่งผมว่าอันนี้ก็โจทย์ยากอยู่นะ คือมันต้องกำหนดสถานการณ์ให้เหมาะ และต้องกำหนดบทสนทนาให้ดี ให้ลึกและตรง ซึ่งผมยอมรับว่ายากจริง เลยแอบเห็นใจคนเขียนบทและกำกับอยู่เหมือนกัน

แต่กระนั้นเมื่อหนังมันออกมายังไม่ลงตัว ยังไม่กลมกล่อม ก็เลยต้องขอว่าไปตามนั้นน่ะนะครับ

ไปๆ มาๆ ฉากที่ดูเข้าท่าสุดผมยกให้ตอนที่ตัวละครเอกทั้งสองเข้าไปในบาร์่แล้วก็แสดงกันบนเวทีน่ะครับ ผมว่าฉากนี้ใช้ได้ จนแอบคิดว่าถ้ามีฉากอะไรแบบนี้เยอะๆ ก็คงดีไม่น้อย

แล้วอีกธีมหนึ่งที่หนังมาพูดทีหลัง แต่จริงๆ แล้วน่าจะเน้นตั้งแต่กลางๆ เรื่องก็คือธีมที่ว่าด้วย “เสียงเพลงที่ต้องรอให้เมืองเงียบก่อนถึงจะได้ยิน” ตอนผมได้ยินประเด็นนี้นี่ผมแทบจะตบเข่าฉาดเลยครับ คืออยากให้เขาเอาธีมนี้มาใส่ลงไปตั้งแต่กลางๆ เรื่อง ไหนจะประเด็นว่าตัวละครเคยมีความผูกพันบางอย่างกับบางสถานที่ แล้วในเวลานี้ตัวละครนั้นก็ยังอยากไปตามสถานที่เหล่านั้นอยู่ นี่ก็เป็นประเด็นที่น่าจะทำให้คนดูอินได้ไม่ยากเลย แต่หนังก็ไม่ค่อยเน้นอะไรเหล่านี้มากนักน่ะครับ ส่วนใหญ่จะไปเน้นความระทึก (ที่บางทีก็ไม่ระทึก) เสียมากกว่า

และพอมองย้อนไปที่ 2 ภาคแรก ผมว่าจุดที่ผมชอบจริงๆ คือเรื่องความสัมพันธ์และมิติตัวละครนะ ซึ่งผมว่ามันตีคู่กับความตื่นเต้นระทึกขวัญได้แบบพอดีเลยเมื่อ 2 ภาคก่อนน่ะ ในขณะที่ภาคนี้ก็ถือว่ายังทำได้ไม่ถึงเท่าไหร่ ทั้งในแง่ความระทึกและเรื่องตัวละคร – คือพอได้บ้างน่ะครับ แต่ก็ยังไม่ถึงระดับประทับใจ – และเท่าที่ดูเนี่ย ผมว่าทั้งซามิร่า (Lupita Nyong’o) และอีริค (Joseph Quinn) เนี่ย ต่างก็มีอะไรให้เล่นและให้เล่าเยอะอยู่นะ เอาแค่ประเด็นที่ว่าซามิร่ารู้สึกเหนื่อยกับการมีชีวิตต่อแล้วก็มาเจอกับเหตุการณ์โลกแตกแบบเนี้ย ก็ขยี้ได้อีกหลายอย่างแล้วล่ะ

อีกอย่างนะครับ ภาคนี้ถือว่าสั้นกว่า 2 ภาคก่อนนะ คือยาวชั่วโมงครึ่งเป๊ะ แต่ตอนดูนี่ผมกลับรู้สึกว่ามันดูยาวๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ

แต่รายได้ภาคนี้ก็ยังได้อยู่ครับ ได้ไป $267 ล้านจากทั่วโลก ซึ่งถือว่าไม่เลวสำหรับหนังทุน $67 ล้าน แต่ผมว่าการทำภาคแยกแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไม่น่าจะดีแล้วล่ะ

สองดาวครับ

(6/10)