ตอนดูรอบแรกยังไม่ถึงกับชอบอะไรมากครับ ครั้นพอเอามาดูใหม่ก่อนดูภาค 2 ก็รู้สึกสนุกกับหนังมากขึ้น

เรื่องของเหล่าคนอมตะที่มารวมทีมกันและพยายามทำสิ่งดีๆ เพื่อช่วยโลก แต่ทีนี้การมีอยู่ของพวกเขาก็อยู่ในสายตาของคนบางกลุ่มครับ แล้วพวกนั้นก็หมายมั่นจะเอาความเป็นอมตะของพวกเขามาหาประโยชน์ใส่ตัว งานนี้เหล่าคนอมตะเลยต้องรับมือกับพวกมัน

ในแง่แอ็คชั่นหนังอาจไม่ได้ตีกันตลอดเรื่องนะครับ แต่อย่างน้อยพอถึงเวลาต้องสู้ฉากบู๊ก็ดูใช้ได้ มันส์พอสมควร ส่วนเนื้อหาจริงๆ ก็ลงสูตรน่ะครับ ตัวเอกต้องมาเจอกับคนที่ประสงค์ร้าย ก็เลยต้องรับมือสู้มันกันไป แต่แม้มันจะเดิมๆ ทว่าหนังก็เล่าได้สนุก อันนี้ก็ต้องชมผู้กำกับ Gina Prince-Bythewood ที่คุมหนังได้ค่อนข้างดี การเล่าเรื่องถือว่าลื่น ความน่าติดตามก็มาเรื่อยๆ บางอย่างแม้จะพอเดาทางได้ แต่ด้วยองค์ประกอบทั้งหลายที่ดีพอเหมาะเลยทำให้หนังดูเพลินพอตัว

ด้านดารานั้นก็ถือว่าเลือกมาดีครับ Theron นี่นอนมาอยู่แล้วกับบทสาวเท่ห์แบบนี้ ส่วนคนอื่นๆ ก็ถือว่าเสริมเรื่องราวได้สวย โดยเฉพาะ Chiwetel Ejiofor ที่ถือเป็นตัวละครที่มีมิติ มีด้านดีและด้านไม่ดีผสมปนเปกัน เลยทำให้ตัวละครนี้ดูน่าสนใจ และอีกคนก็ Harry Melling หรือนายดัดลี่ย์ เดอร์สลีย์แห่ง Harry Potter รายนี้ก็เล่นบทนักธุรกิจจอมเห็นแก่ตัวได้น่าหมั่นไส้ดีแท้

การดูรอบสองนี่ทำให้ผมเก็บรายละเอียดหนังได้มากขึ้นครับ แล้วก็ตระหนักว่าความสนุกมันเกิดจากทุกองค์ประกอบที่ถือว่าถึงเครื่อง ทั้งดารา งานสร้าง ฉากสู้กัน หรือฉากระหว่างทางตอนที่ตัวละครมีปฏิสัมพันธ์กันนั้นก็ไม่ใช่แค่นั่งพูดนั่งคุยไปตามบท แต่ละคนจะเผยตัวตนและแสดงคาแรคเตอร์ของตัวเองออกมา ทำให้เรารู้จักและคุ้นเคยกับพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็ต้องถือว่าทำถึงล่ะครับ เพราะหนังหลายเรื่องก็พยายามทำแบบนี้ ให้ตัวละครมาคุยกันไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีกิมมิค ไม่มีบทพูดที่น่าสนใจ และการเล่าเรื่องก็ไม่มีอะไรนอกจากให้พูดไปเรื่อยๆ เหมือนยืดหนังออกไปให้ครบเวลา – แต่กับเรื่องนี้ ถือว่าเวิร์คครับ

ถือว่าดูสนุกได้เรื่อยๆ ครับ อาจยังไม่ถึงขั้นเด็ดมากๆ ยอดสุดๆ แต่ก็ถือว่าใช้ได้เลยสำหรับหนัง Netflix เรื่องนี้ จนไม่แลกใจเลยที่จะมีภาคต่อตามออกมา – แต่ในฐานะที่ผมเขียนหลังจากดูภาคต่อไปแล้วน่ะนะครับ ก็ได้แต่เสียดาย เพราะภาคต่อทำออกมาได้คนละเรื่องกับภาคแรกอย่างแรง – ไว้มาว่ากัน

สองดาวครึ่งครับ

(7/10)