หนังสร้างจากเรื่องจริงของ นิโคลัส วินตัน นายหน้าค้าหุ้นจากลอนดอน ผู้เป็นกำลังสำคัญในการช่วยพาเด็กๆ ออกจากกรุงปรากมาสู่อังกฤษ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังปะทุ โดยเขาสามารถช่วยเด็กๆ ออกมาได้ถึง 669 คน
หนังแบ่งเล่าเป็น 2 ช่วงสลับกันครับ ก็คือช่วงนิโคลัสวัยหนุ่ม (Johnny Flynn) ที่ช่วยในการวางแผนและติดต่อหน่วยงานต่างๆ เพื่อประสานงานพาเด็กๆ หนีออกมา และอีกช่วงคือตอนสูงวัย (Anthony Hopkins) ที่ดูเหมือนต่อใครจะพากันลืมเลือนสิ่งที่เขาเคยทำ จนเขาก็เริ่มตั้งคำถามต่อตัวเองเหมือนกัน
บอกก่อนเลยครับว่าหนังเรื่องนี้เป็นแนวดราม่าที่ไม่หนักเครื่องปรุง ผู้กำกับ James Hawes เลือกที่จะเล่าเรื่องราวไปเรื่อยๆ ให้คนดูซึมซับเรื่องราวและอารมณ์ตามอัตภาพ โดยเขาจะไม่เน้นปรุงแต่งหรือบิ้วอารมณ์ ไม่ว่าจะด้วยภาพหรือดนตรีก็ตาม ดังนั้นก็ต้องแล้วแต่คนชอบครับ บางท่านที่ชอบหนังปรุงเยอะ ชงหวานหรือชงขมแบบจัดๆ เพื่อจะได้ถึงอารมณ์ก็อาจรู้สึกได้ว่าหนังเรื่องนี้ยังบิ้วไม่ถึง
แต่ถ้าใครเป็นสายไม่หนักปรุง ผมว่าท่านน่าจะเพลินกับหนังเรื่องนี้ครับ เพราะหนังเล่าเหตุการณ์ไปตามท้องเรื่อง ให้นักแสดงสำแดงฝีมือไป พร้อมกับบอกเล่าเหตุการณ์ให้คนดูรับรู้และเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งนักแสดงนี่ก็ต้องยกนิ้วให้ครับเพราะแสดงได้ถึงทุกคน อย่าง Hopkins นี่ไว้ใจได้อยู่แล้วครับ ท่านแสดงบทไหนเป็นอันถึงใจบทนั้น จะให้เป็นคนดีแสนดีที่ไร้พิษภัยก็ได้ หรือจะให้เป็นคนเจ้าเล่ห์เหลี่ยมเยอะจนยากจะไว้ใจก็ได้ ปู่เขาทำได้หมดครับ และสำหรับเรื่องนี้พอดูไปก็เชื่อแบบหมดใจจริงๆ ว่าท่านผู้นี้คือคนที่มีความตั้งใจในการทำเพื่อผู้อื่นจริง
แต่ขณะเดียวกันด้วยการที่คนรอบตัวและสังคมรอบข้างดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจเรื่องราวเมื่อวันวานของเขา จนตัวเขาเองก็เริ่มสงสัยว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นมันมีความหมายจริงหรือ? ห้วงอารมณ์เหล่านี้ Hopkins ถ่ายทอดออกมาได้อย่างพอเหมาะกับสไตล์ของผู้กำกับครับ คือไม่เล่นใหญ่ แสดงอารมณ์ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติแต่ก็ไม่มาก ประเภทว่าต้องสังเกตถึงจะเห็น แต่หากใครไม่ใส่ใจก็จะไม่ตระหนักว่าชายคนนี้กำลังรู้สึกอย่างไร
ส่วน Flynn ที่แสดงเป็นนิโคลัสวัยหนุ่ม รายนี้ก็แสดงได้ดีไม่น้อยหน้ากันครับ คือดูแล้วเชื่อว่าตัวละครวัยหนุ่มและวัยแก่มีความเป็นคนๆ เดียวกัน การแสดงออกก็อยู่ในระดับใกล้ๆ กันคือไม่แสดงออกเยอะ แต่ถ้าคนใกล้ตัวสังเกตก็จะมองออกว่าเขากำลังคิดอะไร แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนสุดๆ ของนิโคลัสวัยหนุ่มคือเขาเป็นคนมีความมุ่งมั่นครับ นี่ก็ดูแล้วเชื่อเหมือนกันว่าชายคนนี้เอาจริง ถ้าเอ่ยปากว่าจะทำอะไรก็ต้องทำให้ได้
ส่วนตัวผมว่าฉากที่ Flynn เล่นได้ดีสุดคือตอนที่หนังฉายให้เห็นถึงวันนั้น วันที่เขายืนรอรถไฟขบวนสุดท้ายแล้วลุ้นว่าจะรถไฟจะมาหรือไม่มา ฉากนี้สีหน้าแววตาของ Flynn บ่งบอกอะไรได้ดีมากๆ จนผมออกตัวเลยว่าซีนที่เขาถอดหมวกมาประคองไว้ที่อกนี่ ทำเอาผมน้ำตาไหลไปเลย – ไม่รู้สิครับ ฉากนี้สั้นนะ แต่มันกระแทกใจแบบเต็มๆ จริงๆ
ดารารายอื่นถือว่าเล่นกันได้ดีเช่นกันครับ รายที่จัดว่าเด่นสุดก็คงหนีไม่พ้น Helena Bonham Carter ในบทบาเบต วินตัน คุณแม่ของนิโคลัส อันนี้ยกนิ้วให้คนแคสติ้งเลยครับ เพราะบทแบบเนี้ย บทสาวแกร่ง นอกกรอบ มั่นใจสูง และกล้าคิดกล้าทำแบบนี้ ยังไงก็ต้องให้ Carter เล่น – นึกถึงตอนเธอเล่นเป็นแม่อีโนล่า โฮล์มส์เลยครับ บทแบบนี้ต้องเธอจริงๆ
ถือเป็นอีกหนึ่งหนังดราม่าที่สร้างจากเรื่องจริงที่ควรค่าแก่การรับชมครับ แต่ก็ต้องย้ำกันอีกทีว่าหนังเรื่องนี้ไม่หนักปรุง ซึ่งผมก็เข้าใจนะครับหากจะมีท่านที่มองว่าหนังยังไม่สุด ยังกินใจได้อีก ยังซึ้งได้อีก อันนี้ผมเข้าใจจริงๆ ครับ เพราะตอนดูหนังเรื่องนี้ผมก็เหมือนมี 2 ร่างคุยกันอยู่ข้างใน ร่างหนึ่งคือตัวตนที่ชอบดูหนังดราม่าแบบบิ้วๆ ปรุงอารมณ์ให้ถึงๆ และทำให้ซึ้งๆ ร่างนี้ก็รู้สึกเหมือนกันว่าอยากให้หนังปรุงมากกว่านี้อีกหน่อย จะได้ถึงรสถึงอารมณ์
ส่วนอีกร่างหนึ่งก็คือตัวตนที่ปรับใจ ประมาณว่าหลังจากดูหนังไปสักพักก็ตระหนักว่าหนังเรื่องนี้ไม่หนักปรุงแน่นอน – ส่วนหนึ่งคงเพราะวันนั้นผมดูผลงานของ Hawes 2 เรื่องต่อๆ กันน่ะครับ อีกเรื่องก็คือ The Amateur หนังสายลับที่ไม่หนักปรุงอีกเช่นกัน เลยปรับใจปรับความคาดหวังได้ง่ายหน่อย – พอปรับแล้วมันก็รับได้ครับ แล้วก็โอเคหนังในแบบที่มันเป็น
สรุปคือไม่ว่าจะตัวตนไหน ผมก็ชอบหนังเรื่องนี้อยู่ดีครับ
และสิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากไว้ก็คือ หากมีใครที่เขาทำสิ่งดีๆ สิ่งที่ทำให้ท่านรู้สึกอยากขอบคุณในความทุ่มเทของเขา รู้สึกซาบซึ้งในสิ่งที่เขาทำ ผมอยากให้ท่านบอกเขาเลยครับ ถ้าทำได้น่ะนะครับ บอกให้เขาได้รับรู้ อย่าปล่อยให้เขาต้องเกิดคำถามในใจ ว่าสิ่งที่เขาทำไปนั้นมันมีคุณค่าต่อคนอื่นๆ จริงหรือไม่
สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ
(7.5/10)
หมวดหมู่:Biography, Drama, History, Inspirational Movies, Movie Reviews, Recommended Movies













