Action

National Security (2003) คู่แสบป่วนเมือง

ผมเปิดหนังเรื่องนี้แบบดูเอามันส์ครับ ไม่ได้คิดอะไรก่อนดูเลย คือกะดูไปทำงานไป ไม่ได้อยากดูอะไรหนักๆ ซึ่งว่าตามจริงตัวหนังมันก็มาในโทนเบาๆ นี่แหละครับ แต่ยอมรับว่าระหว่างที่ผมดูเนี่ย ความสนุกของผมมันเหมือนถูกเบรคเป็นพักๆ

ก็ต้องบอกก่อนเลยนะครับว่าที่ผมเขียนนี่คือการเล่าสิ่งที่ผมคิดและรู้สึก และมันจะมาพร้อมอคติบางประการ แต่ขอว่าไปตามที่รู้สึกจริงๆ ดีกว่า

พล็อตออกแนวคู่หูคู่ต่างที่ต้องมาร่วมมือกันทำอะไรสักอย่าง ซึ่งในเรื่องก็คือหนึ่งตำรวจผิวขาว แฮงค์ (Steve Zahn) ที่เห็นคู่หูโดนยิงตายต่อหน้า พี่ท่านเลยเพียรพยายามตามสืบหาตัวฆาตกร แต่แล้วแฮงค์ก็ซวยเหลือแสนที่ไปมีเรื่องกับเอิร์ล (Martin Lawrence) ชายผิวดำจอมระห่ำและปากเสียแบบสุดๆ และผลจากการมีเรื่องนั้นก็ทำให้แฮงค์โดนปลดแล้วก็ต้องมาเป็นยาม แล้วก็กลายเป็นว่าเอิร์ลก็เป็นยามเหมือนกัน แล้วจากนั้นพวกเขาก็ต้องเผชิญกับเหลฃ่าร้ายซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกับที่แฮงค์กำลังตามอยู่ เรื่องมันก็ประมาณนี้ล่ะครับ

ผมชอบหนังแนวคู่หูคู่ฮานะ มันเพลินๆ ดี แต่กับเรื่องนี้ผมสารภาพเลยว่าผมดูแล้วสนุกบ้างไม่สนุกบ้าง คือจริงๆ โดยรวมผมว่าหนังมันพอได้ ดูแบบเอาฮาไม่ต้องคิดเยอะน่ะได้เลย แล้วช่วงท้ายตอนไคลแม็กซ์ก็ถือว่าบู๊ถล่มระเบิดทลายได้ไม่เลว แต่ปัญหาใหญ่เลยสำหรับผมคือ ผมไม่ชอบคาแรคเตอร์ของเอิร์ลเลยจริงๆ

คือผมเข้าใจนะ หนังคู่หูตู่ต่างแบบเนี้ย มันเข้าใจได้ที่คนหนึ่งจะต้องออกแนวแสนดี ไม่ห่ามไม่บ้าบอ กับอีกคนนี่ต้องพล่ามเยอะพ่นแหลกกวนดฮ๊ยเขาไปทั่ว แบบ Rush Hour เป็นต้น แต่ผมว่าคาแรคเตอร์มันก็ต้องมีขอบเขตและจุดพอดี ถ้าอันไหนมันเลยความพอดีแล้วมันจะออกแนวชวนหงุดหงิดหรือน่ารำคาญ

คือในเรื่องเนี่ยเอิร์ลคือตัวละครคนผิวดำที่มักจะพล่ามเยอะและบ่นเรื่องการเหยียดสีผิว ซึ่งอันนี้เข้าใจได้ครับ แต่ที่ผมไม่ชอบเลยคือพี่แกชอบพล่ามจนหาเรื่องใส่ตัว แต่ละครั้งที่แกพูดนี่จะออกแนวเห็นแก่ตัว ออกแนว “ว่าคนทั้งจักรวาล แต่ไม่ดูตัวเองเลย” ทั้งที่ส่วนใหญ่ที่เรื่องมันบ้าบอเกินควบคุมนี่ก็เพราะพี่แกนี่แหละที่นำพาไป

แล้วที่ไม่ชอบหนักๆ เลยคือพี่แกชอบโกหกเข้าข้างตัวเอง และชอบทำให้ตัวเองดูเป็นเหยื่อ ดูเป็นผู้ถูกกระทำ คือถ้าพี่เขาโดนกระทำแล้วบ่นน่ะผมยังพอเข้าใจนะ แต่บางอย่างคือพี่โกหกเห็นๆ น่ะ อย่างเรื่องที่ทำให้แฮงค์โดนเด้งออกจากตำรวจส่วนสำคัญเลยคือเอิร์ลไม่พูดความจริงให้ครบ พูดแต่เข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียว ยิ่งตอนต่อมาที่เอิร์ลพล่ามในแนวที่ว่าต้องให้แฮงค์กล่าวขอโทษนี่คือผมอึ้งเลยนะ มันเกินไป มันอาจเพราะผมไม่ชอบคนแบบนี้อยู่แล้วน่ะครับ คือถ้าเจอนี่ก็จะเดินหนีให้ไกลๆ เลยนะ แต่พอมาอยู่ในหนังที่เราดูมันก็เลยหนีไม่ได้ครับ ผมเองก็ประเภทดูหนังแล้วต้องดูให้จบด้วย ก็ต้องทนกันไป จะว่าฝืนดูก็พอได้ แต่สารภาพเลยว่าผมฝืนใจทำเป็นชอบหรือไม่รู้ไม่เห็นกับตัวละครเอิร์ลเนี่ย ไม่ได้จริงๆ ครับ

แต่ข้อดีอย่างหนึ่งคือมันทำให้ผมตระหนักนะ ว่าจริงๆ Zahn เป็นคนที่เล่นหนังได้ดีคนหนึ่งเลย ปกติเราจะเห็นเขาในมาดกวนๆ ยวนๆ ใช่ไหมครับ แบบใน Joy Ride ยังเงี้ย ซึ่งผมก็จะติดภาพลักษณ์เขาในฐานะตัวป่วนตัวกวนมากกว่า แต่พอดูเรื่องนี้แล้วเห็นพี่แกถูกกระทำนี่ ผมคิดเลยนะว่า เออ บทแบบนี้พี่ก็เล่นได้นี่ และไปๆ มาๆ ผมรู้สึกว่าแฮงค์เป็นพระเอกไปเลยครับ เพราะแกต้องทนอะไรสารพัด – โดยเฉพาะทนเอิร์ล – มากมายจริงๆ

ผมก็พยายามมองนะ ว่าหนังตั้งใจทำออกมาแบบเสียดสีหรือเปล่า ประมาณว่าเอิร์ลเป็นตัวละครที่สะท้อนถึงคนผิวดำที่โดนคนผิวขาวเอาเปรียบและเหยียดมานานนมจนทำให้พี่แกต้องมีกลไกในการป้องกันตัว เลยพูดอะไรก็ปกป้องตัวเองและโทษคนอื่นไว้ก่อน ทำตัวเป็นเหยื่อไว้ก่อนอะไรเทือกนั้น – ก็นั่นล่ะครับ พยายามเข้าใจ แต่ถ้าเจอคนแบบนี้ผมก็ขออยู่ห่างๆ อยู่ดี – เพราะแม้คุณจะไม่อยากตกเป็นเหยื่อใคร แต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำให้ใครตกเป็นเหยื่อคุณนะครับ ไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน สีผิวไหน หรือยังไงก็เถอะ

เนี่ยครับ ว่าจะดูหนังแบบไม่คิด แต่เจอแบบนี้เข้าเต็มๆ ก็ร่ายยาวอย่างที่เห็น แต่จะมองว่าหนังให้สาระก็ได้นะ ถือว่าหนังชี้ชวนให้เราหันมาพิจารณาตัวเองว่าเรากำลังทำตัวเป็นเอิร์ลอยู่หรือเปล่า ถ้าทำอยู่ล่ะก็ ควรปรับเปลี่ยนครับ เพราะมันไม่น่ารักหรอก และเชื่อเถอะว่าถ้าคุณมาเจอใครเอาเปรียบ เจอใครใส่ความ หรือเจอใครมาทำให้ตัวเองดูเป็นเหยื่อแล้วหาว่าคุณเป็นผู้กระทำ (ทั้งที่จริงๆ ไม่ได้ทำ) ล่ะก็ คุณก็คงไม่ชอบหรอก

โอเค กลับมาเรื่องหนังนะครับ ถ้าถอดสมการความไม่ชอบของผมออกไป หนังก็ถือว่ากลางๆ ครับ ดูเอาฮาได้บ้าง พวกพาร์ทสืบคดีนี่ก็เดาไม่ยากอยู่แล้ว การเดินเรื่องจริงๆ ก็เรื่อยๆ ตามสไตล์ผู้กำกับ Dennis Dugan แห่ง Happy Gilmore, Big Daddy และ Beverly Hills Ninja แต่สำหรับเรื่องนี้ผมว่ายังไม่เด็ดเท่าเรื่องที่ผมกล่าวไปครับ ผมว่าพวกนั้นสนุกกว่า

สองดาวครับ

(6/10)