ระหว่างดูสารพัดสารคดีแนวลึกลับจากช่อง History Channel ผมก็คิดน่ะนะครับ ว่าจะมีใครมาร่วมขบวนเป็นพิธีกรรายการอะไรอีกบ้าง และมีอยู่ 2 คนที่ผมก็เล็ง ๆ ไว้นะ ว่าจะมายามไหน ซึ่งก็คือ David Duchovny กับ Gillian Anderson แห่ง The X-Files นี่แหละครับ เพราะน่าจะครบเครื่อง คือทั้งมีชื่อเสียงและคุ้นเคยกับเรื่องสไตล์ลึกลับอะไรแบบนี้ดีอยู่
แล้วพี่ David แกก็มาครับ กับ Secrets Declassified สารคดีที่ขุดคุ้ยเอาเรื่องลับๆ ในอดีตขององค์กรในอเมริกา โดยเฉพาะองค์กรทางทหารและ CIA กับ FBI แต่ละตอนรายการก็จะพาเราไปพบกับเรื่องลับๆ ที่พวกเขาเคยทำกันเอาไว้ ไม่ว่าจะโครงการลับ, การทดลองลับ, เรื่องสายลับ, สงครามลับ หรือภารกิจต่างๆ มากมายที่ถูกปกปิดไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน ก็ถูกนำเอามาเผยในรายการนี้ ซึ่งก็บอกได้เลยว่ามีหลายเรื่องมากๆ
ว่าตามตรงคือรายการค่อนข้างเนือยอยู่หน่อยๆ ครับ ส่วนหนึ่งอาจเพราะสไตล์ของพี่ David ที่มาในแนวเนิ่บๆ ไม่ได้มีลีลาหวือหวาอะไร และเรื่องที่พี่เขาเอามาเล่ามันก็เป็นเรื่องที่ไม่เหนือธรรมชาติ ประเภทผีสาง ปีศาจ หรืออะไรที่ยังพิสูจน์ไม่ได้นี่จะไม่มีเลยในรายการนี้ แต่จะว่ากันถึงเรื่องลับของทางการล้วนๆ หลักๆ ที่เอามาเล่าเลยคืออเมริกา แล้วก็จะมีของประเทศอื่นๆ บ้างอย่างรัสเซียหรืออังกฤษเป็นต้น
ทีนี้พอลีลาพี่ David ไม่หวือหวา และเรื่องในรายการก็ไม่ได้ชวนขนลุก บรรยากาศมันเลยอาจจะเนือยไปบ้างครับ อันนี้เลยต้องบอกไว้ก่อนเพื่อให้เตรียมใจก่อนดู แต่ถ้ามองในแง่เนื้อหาแล้วผมว่าก็สนุกนะ คือได้รู้อะไรหลายอย่างเลยที่ทางการอเมริกาพยายามปิดเอาไว้ หลายเรื่องก็เคยได้ยินมาแล้ว แล้วก็มาแน่ใจแบบชัดๆ หลังดูรายการนี้ว่ามันเคยเกิดขึ้นจริงๆ หรือบางเรื่องก็ถือว่าใหม่สำหรับผมอยู่ เพราะไม่เคยรู้มาก่อน
ดังนั้นท่านที่จะเพลินกับรายการนี้ก็น่าจะเป็นคนที่ชอบขุดคุ้ยเรื่องลับๆ ของรัฐบาล หรือพวกทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) ก็น่าจะจุใจกันพอสมควร โดยแต่ละตอนก็มีหลายเรื่องอยู่ครับ ซึ่งผมถือว่าดีแล้วล่ะ ถ้าตอนเดียวเรื่องเดียวมันจะต้องยืดแล้วอืดแน่ๆ แต่พอหนึ่งตอนมี 5 – 8 เรื่อง มันก็เลยดูเพลินขึ้น
และสิ่งหนึ่งที่ได้จากการดูสารคดีชุดนี้ก็คือได้ตระหนักน่ะครับ ว่ารัฐบาลและผู้มีอำนาจทั้งหลายนั้นต่างก็มี “ความเทา” ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ไม่ว่าจะประเทศที่ออกตัวว่าเป็นประชาธิปไตยสุดลิ่ม หรือพวกเผด็จการหรือสังคมนิยมสุดติ่งก็เถอะ โดยเฉพาะอเมริกานี่ก็มีผลงานลับๆ ทำเอาไว้เยอะ แล้วไม่ใช่ทำกับแค่คนนอกประเทศนะครับ แต่กับประชาชนในประเทศตัวเองก็โดนกันมาแล้ว อย่างกรณีที่รัฐบาลอเมริกันเคยทำการทดลองลับ ฉีดพลูโตเนียมเข้าร่างกายของคนโดยที่เจ้าตัวที่ถูกทดลองไม่ได้อนุญาตและไม่ได้รู้อะไรเลยครับ จนสุดท้ายก็มีคนต้องตายเพราะเรื่องนี้อย่างน้อย 18 คน – และนี่ไม่ใช่การทดลองเดียวครับ ยังมีอีกหลายอันเลยที่ใช้ประชาชนมาเป็นหนูทดลองน่ะ
หรือการร่วมมือกันอย่างลับๆ ระหว่างทางการกับมาเฟีย เช่นมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทางการอเมริกันอยากเด็ดชีพ Fidel Castro ก็ถึงกับมีการวางแผนประสานงานกับมาเฟียในท้องถิ่นเพื่อที่จะได้หาทางวางยาพิษเพื่อลอบสังหาร Castro แต่ปฏิบัติการก็ไม่สำเร็จเพราะ Castro ไม่ได้มากินอาหารที่ร้านนั้นๆ แต่พอเรื่องนี้ถูกเปิดเผยมาเฟียที่ร่วมมือกับอเมริกันก็ค่อยๆ ล้มตายไปอย่างเป็นปริศนา
============================
ยังมีกรณีที่อเมริกาแอบพาตัวคนที่สมควรจะได้รับโทษฐานเป็นอาชญากรสงครามในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาใช้ทำงานให้กับตนเอง อย่างนักวิทยาศาสตร์ Wernher Von Braun ที่ได้ขึ้นปกนิตยสารไทม์ส เขานั้นมีส่วนทำให้อเมริกาชนะโซเวียตในการเหยียบดวงจันทร์ก่อน แต่แท้จริงแล้วเขาคืออดีตนาซีครับ แล้วนอกจากเขาแล้วก็ยังมีอดีตเจ้าหน้าที่นาซีอีกหลายคนที่ถูกพาตัวมาอเมริกาอย่างลับๆ แล้วก็ทำงานให้ทางการเพื่อแลกกับการที่จะไม่ต้องโทษในข้อหาอาชญากรสงคราม – ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้ปฏิบัติการลับที่ชื่อ Paperclip ซึ่งภารกิจหลักคือพาตัวนักวิทยาศาสตร์นาซีมายังอเมริกาให้มากที่สุดเพื่อที่จะได้เอาความรู้ความสามารถและบันทึกการทดลองต่างๆ ของพวกเขา เอามาสร้างแต้มต่อให้กับอเมริกาในการรับมือกับชาติมหาอำนาจอื่นๆ ที่อาจไม่หวังดีต่อสันติภาพโลก
กรณีสุดอื้อฉาวคงต้องยกให้ตอนที่ญี่ปุ่นบุกยึดแมนจูเรียในยุค 30 ตอนนี้มีชาวญี่ปุ่นที่ชื่อ Shiro Ishii ตั้งใจพัฒนาอาวุธชีวภาพให้กองทัพญี่ปุ่น เขาทำการทดลองอย่างโหดเหี้ยมกับคนจีน (เรื่องราวนี้เคยถูกสร้างเป็นหนังแล้วครับ ซึ่งก็คือ จับคนมาทำเชื้อโรค) มีการทดลองสุดหฤโหดเช่นฉีดเชื้อโรคเข้าร่างคนแล้วดูว่ามันส่งผลยังไง ว่าง่ายๆ คือดูคนป่วยตาย หรือบางกรณีโหดกว่านั้นอีก นั่นคือมีการผ่าคนทั้งเป็นเพื่อดูการทำงานของอวัยวะต่างๆ ดูว่าการทำงานของเชื้อโรคเป็นอย่างไร ซึ่งมีคนตายในการทดลองเหล่านี้ไปกว่า 14,000 คน
ที่หนักสุดคือทางหน่วย 731 (ชื่อของหน่วยที่ทำการทดลองนี้) นี้มีการเพาะพันธุ์หมัดที่เป็นพาหะนำโรค แล้วก็นำมันไปหย่อนทิ้งกลางใจเมือง กล่าวกันว่าคนจีนตายไปเพราะการทดลองนี้กว่า 50,000 คน
การทดลองโหดของหน่วย 731 ถูกหยุดยั้งในปี 1945 เมื่อรัสเซียบุกยึดแมนจูเรียได้ แล้ว Ishii ก็หนีกลับญี่ปุ่นพร้อมหอบข้อมูลการทดลองสุดโหดเหล่านั้นติดตัวไปด้วย แล้วอเมริกาก็จับ Ishii ไปสอบปากคำในข้อหาอาชญากรสงคราม แต่สุดท้าย Ishii ก็รอดโดยไม่ต้องข้อหาใดๆ เพราะอเมริกาต้องการข้อมูลการทดลองของ Ishii ไป (เพราะอเมริกาทดลองแบบนั้นไม่ได้ เลยใช้เอกสารเหล่านี้มาเป็นแหล่งข้อมูลแทน) ดังนั้นแฟ้มข้อมูลการทดลองจึงแลกกับอิสรภาพของ Ishii โดยที่อเมริกาอ้างว่าต้องทำเพราะจะได้เอาข้อมูลไปใช้เพื่อแข่งขันกับโซเวียต
หลังจากนั้น Ishii ก็ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข จนมาเสียชีวิตในปี 1959 ด้วยโรคมะเร็งลำคอ
============================
หรือตำนานลับที่ไม่ลับที่โด่งดังที่สุดในเรื่องยูเอฟโอ ซึ่งก็คือเหตุการณ์จานบินตกที่รอสเวลล์อันลือลั่น รายการนี้ก็บอกเรื่องในอีกมุมว่า จริงๆ แล้วจานบินที่เขาร่ำลือกัน มันคือบอลลูนสอดแนมในโปรเจคต์โมกุล ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อหวังจะใช้ในการสอดแนมและตรวจจับระเบิด (แน่นอนว่าเป้าหมายคือใช้กับโซเวียต) แต่เนื่องจากบอลลูนที่ว่าควบคุมได้ยาก มันเลยลอยไปตกที่รอสเวลล์ ในสภาพที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้น และคนมากมายเข้าใจว่ามันคือจานบิน ซึ่งตอนแรกทางการก็พยายามจะบอกว่ามันคือบอลลูนตรวจอากาศ แต่พอคนเทคะแนนความเชื่อไปในทางที่ว่า “มันคือจานบิน” มากกว่า ทางการก็ปล่อยเลยตามเลย เพราะจริงๆ แล้วทางการก็อยากให้ทุกคนเชื่อว่ามันคือจานบิน มากกว่าจะให้ใครรู้ว่านั่นคือบอลลูนจากโครงการลับ
ยังมีอีกหลายกรณีครับ อันหนึ่งที่น่าสนใจคือช่วงต้นของสงครามเย็น มีการกลัวอยู่ก่อนแล้วว่าโซเวียตมีแผนที่จะจู่โจมอเมริกาด้วยวิธีทางจิตวิทยา ซึ่งก็พอดีที่นักข่าว Edward Hunter ตีพิมพ์หนังสือที่ชื่อ Brainwashing ออกมา พร้อมชี้ประเด็นว่าโซเวียตมีวิทยาการล้างสมองที่ก้าวหน้าจนสามารถล้างสมองคนอเมริกันได้ มีการอ้างอิงถึง Ivan Pavlov กับการทดลองวางเงื่อนไขสุนัขให้มันน้ำลายไหลทุกครั้งที่ได้ยินเสียง นอกจากนี้ยังมีการทดลองกับเด็กด้วย – เรียกว่าหนังสือเล่มนั้นนำเสนอข้อมูลที่ทำให้ชนชาวอเมริกันเชื่อในเรื่องนี้แบบสุดกำลัง
แต่เรื่องนี้มีการหักมุมครับ เพราะตอนหลังมีการค้นพบว่า Hunter ไม่ใช่นักข่าว แต่จริงๆ แล้วเขาเป็น CIA ที่ปฏิบัติการเกี่ยวกับการโฆษณาชวนเชื่อ และข้อมูลทั้งหมดที่บอกว่าโซเวียตมีวิทยาการล้างสมองอะไรนั่น เป็นการกุขึ้นมาทั้งหมด คือเรื่องจริงโซเวียตจะทำอะไรบ้างไหม อันนี้ก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่แน่ๆ คือข้อมูลในหนังสือ Brainwashing คือปฏิบัติการชวนเชื่อโดยอเมริกาที่อยากให้ชาวโลกเชื่อว่าโซเวียตกำลังพัฒนาวิทยาการนั้นๆ อยู่
============================
อีกตอนหนึ่งที่ผมชอบคือตอน Mind Games ที่ว่าด้วยปฏิบัติการทางจิตวิทยาที่ทางการได้ทำลงไป อย่างเช่นมีกรณีที่กองทัพสหรัฐอเมริกา อาศัยที่คนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ เลยเอาเรื่องนี้มาใช้ประโยชน์ในการศึก เช่น ในทศวรรษที่ 1950 ที่ฟิลิปปินส์ ทางการต้องต่อสู้กับกลุ่มกองโจรที่ชื่อว่าฮัก ซึ่งเป็นกบฎคอมมิวนิสต์ แล้วอเมริกาก็ตั้งใจจะจัดการ โดยที่พวกกบฎฮักซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบ แล้วอยู่มาวันหนึ่งหน่วยลาดตระเวนของพวกฮักก็พบศพคนของตัวเองนอนตายอยู่ในสภาพเลือดหมดตัว และร่างกายมีบาดแผลแค่รอยเจาะเล็กๆ 2 รูที่คอ แน่นอนว่ามันทำให้กลุ่มกบฎกลัวเพราะแถบนั้นมีตำนานผีดูดเลือดที่ชื่อว่าอัสวัง ยิ่งชาวบ้านพูดกันถึงเรื่องนี้ความกลัวก็ยิ่งก่อตัว จนว่ากันว่ามันส่งผลให้สภาพจิตใจของกลุ่มกบฎสั่นคลอน และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้กองกบฎยอมจำนนในที่สุด
ต่อมามีการเปิดเผยในปี 1972 ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดคือปฏิบัติการทางจิตวิทยาครับ โดยหัวหน้า CIA ท้องถิ่น Edward Lansdale เชื่อว่าความกลัวจะสามารถใช้ตัดกำลังใจข้าศึกได้ ดังนั้นโดยอาศัยตำนานของอัสวัง เขาก็เลยเริ่มจากการปล่อยข่าวลือให้ชาวบ้านพูดถึงเรื่องนี้ ก่อนจะให้หน่วยซุ่มโจมตีบุกไปจับตัวคนของกบฏมาทำการสังหารโดยไร้ร่องรอยที่ชัดเจน ก่อนจะเจาะรูที่คอ แล้วจับร่างห้อยหัวเพื่อดึงเลือดให้หมดตัว ก่อนจะเอาศพไปวางไว้ใกล้ๆ ฐานของพวกกบฎ – ซึ่งพวกกบฏก็เชื่อจริงๆ ตามนั้น
อีกกรณีคือตอนสงครามเวียดนามครับ ในปี 1969 อเมริกาใช้แผนที่เรียกว่า The Wandering Souls หรือ “วิญญาณเร่ร่อน” โดยทางเวียดนามเหนือมีความเชื่อว่าหากศพไม่ได้รับการฝังอย่างถูกต้อง วิญญาณของคนตายก็จะล่องลอยและคอยหลอกหลอนผู้คน แล้วก็แน่นอนว่าด้วยตอนนั้นเกิดสงครามจึงมีศพมากมายเต็มพื้นที่ไปหมด อเมริกาเลยจัดแจงสร้างคลิปเสียงโหยหวนขึ้นมา โดยใช้เสียงพื้นฐานป็นเสียงของคนเวียดนาม แล้วก็ใช้เทคนิคพิเศษตกแต่งเสียงเพื่อเสริมความน่ากลัวลงไปตามสไตล์ฮอลลีวู้ดแล้วเอาไปเปิดในป่า
กล่าวกันว่าปฏิบัติการนี้ไม่ได้รับการยืนยันอย่างชัดเจนว่ามันได้ผลไหม เนื่องจากหลังจากเปิดไปสักระยะปรากฏว่าคนที่กลัวกลับกลายเป็นฝ่ายคนเวียดนามที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐครับ ทางนั้นบอกเลยว่ามันทำให้ทหารของเขาจิตตกมากๆ จนทำให้กองทัพต้องสั่งหยุดปฏิบัติการนี้ไป – สรุปคือขวัญฝ่ายตรงข้ามเสียไหมไม่รู้ แต่ฝ่ายเดียวกันยังขวัญกระเจิงครับ คิดดู
สำหรับผมนี่ ถือว่าดูสนุกอยู่ครับ แม้อารมณ์ของรายการอาจดูโมโนโทนอยู่ก็เถอะ แต่ข้อมูลน่าสนใจใช้ได้ อย่างที่บอกน่ะครับว่ามันทำให้เห็นความเทาของโลกชัดเจนขึ้น ซึ่งก็ไม่ใช่เฉพาะอเมริกาน่ะครับ แต่ผมว่าหลายๆ ประเทศมันก็ต้องมีอะไรแบบนี้กันบ้างแหละ ซึ่งท่านจะมองเรื่องแบบนี้ในมุมไหนก็ย่อมขึ้นกับวิจารณญาณของแต่ละคน
ส่วนผม ผมนั้นนึกถึงประโยคเด็ดจากหนัง Shooter ครับ “ไง… โลกไม่เป็นอย่างที่เห็นใช่ไหมล่ะจ่า”
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)














