Adventure

The Horse Soldiers (1959)

หนึ่งในภาพยนตร์สุดยิ่งใหญ่ของผู้กำกับ John Ford ที่นำพา 2 ดาราแห่งยุคอย่าง John Wayne และ William Holden มาเจอกัน

หนังเล่าถึงเหตุการณ์ช่วงสงครามกลางเมืองของอเมริกาครับ (ราวๆ ปี 1863) เมื่อผู้พันจอห์น มาร์โลว์ (Wayne) แห่งกองทัพฝ่ายเหนือต้องเร่งรุดนำพาเหล่าทหารเดินทางไปปฏิบัติภารกิจเพื่อตัดกำลังฝ่ายตรงข้าม โดยเขาต้องร่วมทางไปกับพันตรีเฮนรี่ เคนดอล (Holden) แพทย์สนามที่มักมีความเห็นขัดแย้งกับเขาบ่อยๆ – ประมาณว่ามาร์โลว์ต้องการให้เหล่าทหารปฏิบัติงานอย่างสุดกำลัง ส่วนเคนดอลต้องคอยยั้งและคิดถึงสวัสดิภาพกับสุขภาพของเหล่าทหาร

แล้วในเวลาต่อมาพวกเขาก็ได้เจอกับ ฮันนาห์ ฮันเตอร์ (Constance Towers) สาวชาวใต้ที่ดูเหมือนจะคอยสอดแนมและส่งข่าวความเคลื่อนไหวของพวกเขาให้กับฝ่ายใต้ พวกเขาเลยต้องพาเธอไปด้วย

หนังก็มาในแนวสงครามที่มีกลิ่นอายความเป็นหนังคาวบอยอยู่ในที ซึ่งสิ่งแรกเลยที่ประทับใจผมคือความยิ่งใหญ่ของงานสร้างครับ ดูแล้วตระหนักเลยว่าหนังลงทุนและทำถึง (สำหรับยุคนั้น) สิ่งที่เตะตาแบบแรงๆ คือภาพของเหล่าทหารในกองที่มากันเป็นร้อยคน ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาต้องเกณฑ์คนจริงๆ มาเข้าฉากครับ แล้วเราก็จะได้เห็นฉากที่ฉายความยิ่งใหญ่แบบนี้อยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ ดังนั้นแค่จุดนี้ผมก็ให้ใจกับหนังแล้วครับ เพราะมัน Epic จริงๆ

ในแง่เนื้อเรื่อง จริงๆ แล้วหนังก็บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดในสงครามทั้งหลาย ไม่ว่าจะการวางแผนรบ การเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ที่มีจุดยืนต่างกัน ดังนั้นหากถึงเวลาคับขันมันก็จะจบลงตรงที่ถ้าไม่ฆ่าเขาก็ถูกเขาฆ่า อีกทั้งเหล่าชาวบ้านทั้งหลายที่พวกเขาได้พบเจอระหว่างทาง ก็ไม่มีทางรู้เลยครับว่าชาวบ้านจะอยู่ฝ่ายไหน – จะอยู่ฝ่ายพวกเขาจริงๆ หรือทำเป็นเออออยอมตาม แล้วก็ย่องไปส่งข่าวให้อีกฝ่ายลับหลัง

ผมถือว่าหนังสามารถถ่ายทอดสภาพสังคมบ้านเมืองในยุคที่มีความแตกแยกได้อย่างเห็นภาพมากๆ

ไหนจะเหล่าเด็กๆ ที่ต้องออกมาร่วมรบอีก ซึ่งเด็กบางคนในกองร้อยเด็กเหล่านี้ ก็เป็นคนสุดท้ายของครอบครัว เพราะทั้งพ่อทั้งอาทั้งใครต่อใครต่างก็ไปเสี่ยงตายในสนามรบกันหมดแล้ว ทำให้เราจะได้เห็นภาพของคนเป็นแม่ที่ขอร้องต่อผู้นำกองร้อย ให้ช่วยปล่อยให้ลูกชายของเธอได้ปลดประจำการเถอะ อย่าให้ไปเสี่ยงตายในสนามรบให้บ้านนี้ไม่เหลือใครเลย

ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ผมชอบในเรื่องคือการที่หนังฉายให้เห็นถึงภาพรวมของสงคราม ที่ในแง่หนึ่งอาจมีเรื่องของเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ความรักชาติ หรือความภูมิใจ แต่ในอีกทางหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ครับ ว่าสงครามมันก็มีด้านมืด มีด้านชวนให้สลดและหดหู่ ซึ่งแม้หนังอาจไม่ถึงกับลงลึกในประเด็นเหล่านี้ แต่ผมว่าสำหรับสมัยนั้น หนังก็ถ่ายทอดอะไรเหล่านี้ออกมาได้ในระดับที่น่าพอใจ

และกลายเป็นว่าหนังเรื่องนี้ให้รสชาติในแบบที่ผมชอบด้วยครับ นั่นคือรสชาติความเป็นหนังแนว “บอกเล่าช่วงหนึ่งของชีวิตใครสักคน” เพราะตลอดเรื่องเราจะได้เห็นการมาอยู่ร่วมกันของตัวละครหลัก ที่มีตีกันบ้าง คุยกันบ้าง เขม่นกันบ้าง แต่พอถึงจุดหนึ่งเราก็จะได้เห็นทางแยกของพวกเขา ผมสัมผัสได้ถึงประเด็นนี้ก็ตอนที่เคนดอลเอ่ยคำลาฮอปปี้ (O.Z. Whitehead) ผู้ช่วยที่ทำหน้าที่รักษาชีวิตผู้คนร่วมกับเคนดอลมาตลอด ตอนแรกผมก็นึกว่าจะได้เห็น 2 คนนี้ร่วมทางกันไปจนจบ แต่กลายเป็นว่าช่วงกลางๆ มันมีเหตุให้พวกเขาต้องแยกทางกันครับ เคนดอลก็ไปทาง ฮอปปี้ก็ต้องไปอีกทาง

เคนดอลเอ่ยว่า “ถ้าหากสงครามจบแล้ว และเราไม่ได้เจอกันอีก ผมหวังว่าคุณจะไปเรียนต่อแพทย์ให้จบนะ”

โมเมนต์นั้นแหละครับที่ทำให้ผมสัมผัสถึงห้วงอารมณ์ที่ว่า พลางคิดไปว่า “เออ มันก็จริงนะ” เพราะในโลกของสงครามมันเปรียบได้กับสายน้ำที่เต็มไปด้วยกระแสธารที่ยากจะคาดเดา วันนี้คุณอาจได้รู้จักกับเพื่อนทหารคนหนึ่ง แต่พอถึงวันพรุ่งคุณกับเขาอาจต้องแยกกันไป และอาจไม่ได้เจอกันอีกเลยในชีวิตนี้ ซึ่งในหนังก็มีโมเมนต์ทำนองนี้อยู่พอสมควรครับ และสำหรับผมมันก็ Touch ครับ ผมมักจะ Touch กับอะไรแบบนี้เสมอ ก็เลยเป็นอีกส่วนที่ทำให้ผมชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้น

โดยรวมผมเลยชอบหนังครับ แม้จะยาว 2 ชั่วโมงหน่อยๆ แต่ก็ดูได้เรื่อยๆ ช่วงต้นๆ อาจเชื่องๆ บ้าง แต่พอเดินเรื่องไปสักพักอะไรๆ ก็ลื่นขึ้น และอีกหนึ่งของดีที่เพิ่มพลังให้หนังก็ต้องยกให้การแสดงของ Wayne, Holden และ Towers แค่ 3 คนนี้ก็เอาอยู่ครับ แล้วก็ต้องชมการคุมหนังของ Ford ด้วย

ทีนี้เรามาคุยกันเรื่องเบื้องหลังงานสร้างนะครับ อย่างแรกเลยคือตอนแรกผู้สร้างตั้งใจจะให้ผู้มารับบทนำคือ Clark Gable และ James Stewart ครับ แต่ในเวลาต่อมาพวกเขาก็เปลี่ยนใจ และมองว่าดาราที่อายุอ่อนกว่าอย่าง Wayne และ Holden น่าจะเหมาะสมกับบทมากกว่า

และเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมนับถือในสปิริตของ Wayne ก็คือ ในช่วงที่เขาทำหนังเรื่องนี้ Pilar Wayne ภรรยาของเขากำลังมีปัญหาเรื่องยาเสพติดครับ มีหลายคนพยายามแนะนำให้เขาพาภรรยาไปเข้าสถานบำบัดเพื่อที่เขาจะได้ไปถ่ายหนังอย่างสลายใจ แต่ Wayne บอกว่าเขาอยากเผชิญกับเรื่องนี้ร่วมกันกับเธอ เขาเลยพาเธอมาอยู่ด้วยกันที่ใกล้ๆ กองถ่ายเพื่อที่เขาจะได้ดูแลเธอ

แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อเธอมีอาการประสาทหลอนและลงมือทำร้ายตนเองด้วยมีดโกน ทำให้เขาต้องรีบตรงจากกองถ่ายพาเธอไปเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด ซึ่งเหตุการณ์นี้ถูกปิดข่าวไว้ ไม่มีใครได้รู้ไม่ว่าจะสื่อหรือสาธารณชน และ Wayne ก็ยังเดินหน้าทำงานต่อไปอย่างเต็มที่แบบที่เราได้เห็นบนจอ – ยอมรับว่าเห็นใจเขาเหมือนกันครับตอนได้ทราบเรื่องนี้ และอดคิดไม่ได้ว่าตอนที่เขาทำท่าขึงขังสมบททหารหาญในเรื่อง ใจของเขานั้นจะเป็นเช่นไร เขาจะคิดถึงเรื่องภรรยามากแค่ไหน

หนังเรื่องนี้ได้รับการบันทึกไว้ว่าเป็นหนังเรื่องแรกๆ ของฮอลลีวู้ดที่มีการทำสัญญาเรื่องค่าตัวกับดาราในระดับ Mega-Deal นั่นคือ Wayne และ Holden จะได้รับค่าตัวคนละ $775,000 เหรียญ บวกด้วย 20% จากผลกำไรที่หนังได้ ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ในเวลาต่อมาก็มีการทำตามกับเป็นทอดๆ จวบจนถึงปัจจุบัน

แต่น่าเสียดายครับที่หนังไม่ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้ หนังเลยไม่มีกำไร และพอหนังไม่มีกำไร เลยทำให้ 2 ดารานำของเราไม่มีใครได้ 20% เพิ่มตามสัญญา

และอีกหนึ่งเกร็ดที่อยากบอกคือ จะมีตัวละครหนึ่งที่ชื่อดังเกอร์ ที่เป็นหน่วยสอดแนมที่บาดเจ็บที่ขาจนเคนดอลต้องตัดมันออก ผู้รับบทนี้คือ Bing Russell ซึ่งเขาผู้นี้ก็คือพ่อของ Kurt Russell นั่นเองครับ

สรุปว่านี่เป็นหนังสงครามกลางเมืองที่ควรค่าแก่การรับชมอีกเรื่องครับ

สองดาวครึ่งครับ

(7/10)