Comedy

La Dolce Villa (2025) วิลล่าแห่งรัก

อีริค ฟิลด์ (Scott Foley) ตั้งใจเดินทางมาอิตาลีเพื่อเปลี่ยนใจลูกสาวที่ชื่อ โอลิเวีย (Maia Reficco) ที่กำลังจะซื้อบ้านเก่ามารีโนเวทใหม่แล้วก็มาใช้ชีวิตที่นี่แทน ตอนแรกอีริคก็พยายามเต็มที่ล่ะครับ แต่แล้วอะไรๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อหัวใจของเขาไปสะกิดกับ ฟรานเชสก้า (Violante Placido) นายกเทศมนตรีแห่งมอนเตซาร่าแห่งนี้

ฟังเนื้อเรื่องก้พอจะเดาตอนจบได้แล้วน่ะนะครับ 555 ตัวหนังก็ตามนั้นแหละครับ ลงสูตรหนังรอมคอม Feel Good แน่นอนว่าอย่างแรกที่หนังตั้งหน้าตั้งตาเสิร์ฟคือวิวสวยๆ บรรยากาศดีๆ ของอิตาลี จุดนี้ก็หายห่วงล่ะครับ ดูแล้วก็ผ่อนคลายดี และจุดดีอีกอย่างคือหนังได้ Theo van de Sande ผู้กำกับภาพมือเก๋าชาวดัทช์ที่อยู่ในวงการมาตั้งแต่ปี 1969 มาเป็นคนคุมเรื่องภาพครับ ซึ่งหนังฮอลลีวู้ดที่เขาเคยฝากฝีมือไว้ก็มีอย่าง Wayne’s World, Volcano, Blade ภาคแรก, Cruel Intentions, Big Daddy แล้วก็ Homefront เป็นต้น ซึ่งพอมาเรื่องนี้เขาก็ยังคงจับภาพสวยๆ มานำเสนอได้ในระดับที่น่าพอใจครับ

ส่วนตัวหนังก็อย่างที่บอก ลงสูตรแบบเดาได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าดารานำก็แสดงกันได้ดีด้วยล่ะครับ อย่าง Foley นี่ก็เป็นพระเอกได้น่ารักดีเหมือนกัน รายนี้ส่วนใหญ่จะเล่นบทสมทบ ที่ดังๆ หน่อยก็ใน Scream 3 ตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวังครับ ครั้นพอได้ดูก็รู้สึกว่าพี่เขาเล่นได้โอเคนะ แล้วก็ดูเข้าคู่กับ Placido ได้ไม่เลว ส่วนดารารายอื่นก็ถือว่าเรื่อยๆ ครับ ไม่ถึงกับเด่นขโมยซีนแต่ก็กลมกลืนไปกับหนังได้

ในแง่ของบทจริงๆ หนังเปิดอะไรไว้หลายอย่างครับ ไม่ว่าจะเรื่องในอดีตของอีริคและลูกสาว, เรื่องที่อีริคเคยเป็นเชฟมาก่อน, เรื่องอดีตของฟรานเชสก้า, เรื่องกุ๊กกิ๊กหวานๆ ของโอลิเวียกับหนุ่มในเมืองนั้น, เรื่องการตัดสินใจของโอลิเวีย หรือเรื่องคู่รักคู่กัดที่รักๆ เลิกๆ ตลอดทั้งเรื่อง จริงๆ ถ้าหนังลงลึกอะไรพวกนี้ก็คงดี แต่ก็แค่แตะๆ และพูดถึงในระดับหนึ่ง ซึ่งก็ทำใจไว้แล้วเหมือนกันครับ เพราะหนังรอมคอม Netflix หลายเรื่องก็จะมาทรงนี้แหละ คือมีปมมีปูมเกริ่นๆ ไว้ แต่ก็ไม่ลงลึก แต่จะไปเน้นขายวิวและความโรแมนซ์เป็นหลักแทน – ในแง่หนึ่งหนังเลยดูได้เรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่สุดครับ

ส่วนผู้กำกับเรื่องนี้ก็คือ Mark Waters ที่ทำหนังให้ Netflix มา 3 เรื่องติดแล้ว ได้แก่ He’s All That, Mother of the Bride แล้วก็เรื่องนี้ ซึ่งในแง่ความสนุกก็ไม่มากเท่าสมัยที่เขาทำพวก Freaky Friday, Mean Girls แล้วก็ The Spiderwick Chronicles แต่หากเทียบกับหนังรอมคอม Netflix ด้วยกันแล้ว เรื่องนี้ก็ถือว่าพอได้อยู่ครับ

และข้อคิดสำคัญจากหนังที่ผมอยากให้จดจำกันแม่นๆ เลยก็คือ ยามที่เราจะต้องทำอะไรสักอย่าง เราต้องพิจารณาให้รอบด้าน เราต้องคิดถึงจุดบอดต่างๆ ที่อาจส่งผลให้สิ่งที่เราอุตส่าห์ทำมาทั้งหมดนั้น ต้องลงเอยด้วยความเสียเปล่า – โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นทางกฎหมายครับ คนเราตกม้าตายกับประเด็นนี้กันมานักต่อนัก โดยเฉพาะพวกเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือสัญญาทั้งหลาย บางทีแค่พลาดนิดเดียวล่ะเป็นอันจบเลยก็มี ดังนั้นเราต้องจัดการกับมันให้รอบด้านก่อนที่มันจะสร้างเซอร์ไพรส์ที่ไม่น่ารักให้กับเราในภายหลัง – ใครดูหนังแล้วน่าจะเข้าใจที่ผมพูดน่ะนะครับ

และอีกอย่างที่อยากบอกคือ อย่ามัวแต่คิดว่ามันจะไม่เกิดหรอก พวกเรื่องร้ายๆ พวกเรื่องซวยๆ ทั้งหลายน่ะ อย่ามัวแต่คิดว่าเราจะโชคดี และอย่ามัวแต่หวังพึ่งพาปาฏิหาริย์ เพราะคนเราไม่ได้โชคดีกันทุกคนครับ ดังนั้นหันมาสร้างโชคชัวร์ๆ ด้วยมือเราเองไว้ก่อนดีกว่า ด้วยการทำอะไรให้รอบคอบที่สุด หรือถ้าเราไม่รู้เรื่องไหนก็หาความรู้ซะ หาคนมาสอนหรือปรึกษา (แต่ก็ต้องคอยตรวจสอบสิ่งที่พวกเขาบอกด้วยนะครับว่ามันจริงทั้งหมดไหม) – เชื่อเถอะครับ เหนื่อยเช็คหน่อยในตอนต้น ดีกว่าหมดสิ้นทุกสิ่งอย่างในตอนปลาย แล้วก็มามัวนึกถึงคำคลาสสิคอย่าง “รู้งี้”

สรุปว่าดูเอาเพลินได้ตามสูตรครับ

สองดาวครับ

(6/10)