Action

The Mechanic (1972) จอมเพชฌฆาตหนวดหิน

อาร์เธอร์ บิชอป (Charles Bronson) คือนักฆ่ามืออาชีพที่สามารถจัดการเหยื่อได้ด้วยสารพัดวิธี แต่ละครั้งที่จะลงมือเขาก็จะศึกษาพฤติกรรมของเหยื่อและมีการวางแผนโดยละเอียดเพื่อไม่ให้ผิดพลาด และล่าสุดเขาก็ได้ผูกสัมพันธ์กับ สตีฟ แมคเคนน่า (Jan-Michael Vincent) ลูกชายของเพื่อนเก่า และอาร์เธอร์ก็เห็นแววของเด็กคนนี้ เลยหมายมั่นจะปั้นให้เขาเป็นผู้ช่วย – ขอเล่าแค่นี้นะครับ ที่เหลือติดตามกันต่อในหนัง

สิ่งที่ต้องบอกก่อนเลยก็คือ หนังแม้จะเป็นแนวแอ็คชั่นแต่ก็เป็นแบบแอ็คชั่นสมัยเก่าน่ะครับ จะไม่ได้บู๊กันทุกๆ 5 นาทีเหมือนหนังบู๊ยุคใหม่ ยิ่งแนวทางการลงมือของอาร์เธอร์ออกแนวซุ่่มและวางแผนด้วยแล้ว หนังเลยจะเน้นไปที่ทักษะการวางแผนของอาร์เธอร์มากกว่าจะควักปืนมากระหน่ำยิงกัน ดังนั้นใครคาดหมายหนังบู๊ที่บู๊กันเรื่อยๆ มียิงกันตึ่มตั่ม มีระเบิดแบบบึ่มบั่มทั้งเรื่องนี่ก็ต้องปรับใจก่อนน่ะนะครับ

อย่างผมนี่ตอนแรกๆ ที่ดูก็มีแอบเบื่อนะ เพราะอาร์เธอร์แกวางแผนละเอียดจริงๆ กว่าจะลงมือแต่ละทีก็มีขั้นตอนหลายซับหลายซ้อน แต่พอดูไปสักพักก็ตระหนักครับว่าเพราะแบบนี้แหละอาร์เธอร์เลยเป็นแนวหน้า และต้องยอมรับว่า Bronson เล่นบทนี้ได้เท่ห์มาก ท่าทางแววตาดูสุขุม สำหรับผมแล้วหนังน่าติดตามไปจนจบก็เพราะการแสดงแนวนิ่งๆ แต่มีพลังของพี่หนวดหินนี่แหละ

แล้วที่บอกว่าฉากแอ็คชั่นไม่เยอะนี่ก็ไม่ใช่ไม่มีนะครับ จริงๆ คือมี แต่มาแบบน้อยแต่แน่น คือมีไม่เยอะ แต่มาทีนี่ก็ถึงใจกันไป ไม่ว่าจะฉากมอเตอร์ไซค์ไล่ล่าตอนกลางเรื่อง หรือฉากฝ่าดงนักฆ่าในช่วงท้าย แต่ละฉากล้วนออกมามันส์และเร้าใจ จนสามารถชดเชยความรู้สึกที่แอบเบื่อกับความช้าในตอนต้นๆ ไปได้เยอะเลยล่ะครับ

แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกระหว่างดู อันนี้ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหมน่ะนะครับ แต่รู้สึกเลยว่าตัวหนังทำออกมาแล้วให้ความรู้สึกว่าชีวิตนักฆ่าไม่ใช่อะไรที่น่าเดินตาม คือแม้หนังจะนำเสนอความเท่ห์ของตัวละครให้เราเห็นยังไงก็ตาม แต่องค์ประกอบต่างๆ มันชวนให้คิดไปในเชิงว่า คนทำอาชีพนี้มีแต่เสี่ยงอันตราย ไม่ฆ่าเขาก็ต้องถูกเขาฆ่า ซ้ำยังไม่สามารถไว้ใจใครได้ ไหนจะต้องมีความระวังระแวงว่าตัวเองจะตกเป็นเป้าเมื่อไรก็ไม่รู้

โดยรวมแล้วผมเลยค่อนข้างชอบหนังครับ ชอบการเล่าเรื่อง ชอบการคิดและใช้สมองของตัวละคร แล้วก็ชอบลีลาท่าทางมาดของพี่หนวดหิน บวกกับฉากแอ็คชั่นที่แม้จะน้อยแต่ก็มันส์ แล้วตอนท้ายยังมีไปบู๊กันในที่ที่บรรยากาศสวยอย่างเมืองเนเปิลส์อีก หนังเลยถือว่าค่อนข้างครบเครื่องสำหรับผมครับ คืออาจไม่ได้สุดยอด แต่ก็ดูสนุกน่าพอใจ

แต่ว่ากันว่ามีอยู่คนหนึ่งที่ไม่พอใจกับผลงานชิ้นนี้ครับ เขาคือ Lewis John Carlino คนเขียนบทหนังเรื่องนี้ครับ ซึ่งเหตุผลน่ะมันก็เพราะตามความตั้งใจของเขาแล้ว เขาอยากนำเสนอหนังในเชิงที่นักฆ่ารุ่นเก่ากับนักฆ่ามือใหม่มาวางหมากเดินเกมใส่กัน โดยเขาตั้งใจจะให้เรื่องราวออกมาในเชิงชายรักชายด้วยครับ ประมาณว่าเขาจะให้นักฆ่ามือใหม่นั้นหมายมั่นขึ้นเป็นนักฆ่าเบอร์หนึ่งแทนคนเก่า แล้วก็ใช้เสน่ห์ทางเพศในการทำให้นักฆ่ารุ่นเก่าตายใจและเมื่อถึงโอกาสเหมาะๆ ก็จะได้พลาดท่า แล้วบทยังเสริมความซับซ้อนลงไปอีกโดยให้ในที่ท้ายสุดแล้ว นักฆ่ามือใหม่ก็กลับตกหลุมรักนักฆ่ารุ่นเก่าเสียเอง จนทำให้เกิดปมขัดแย้งในใจขึ้นมาอีก

ใช่ครับ บทดั้งเดิมเป็นแบบนั้น ซึ่งทางผู้สร้างก็เออออนะ ตอนแรกก็ยอมรับแล้วก็พยายามเอาโครงการไปเสนอตามสตูดิโอต่างๆ แต่กลายเป็นว่าไม่มีที่ไหนตอบตกลงเลย แล้วมิหนำซ้ำเหล่าดารานำที่ทีมงานทาบทามไป พอเห็นว่าบทมีทิศทางแบบนี้ แต่ละคนก็พากันปฏิเสธ จนในที่สุดผู้สร้างก็ต้องตัดสินใจถอดเอาเรื่องราวส่วนที่เป็นชายรักชายออก เมื่อนั้นถึงจะมีคนตกลงออกทุนและมีดาราตบเท้าเข้ามาแสดง

ด้วยเหตุนี้ Carlino จึงรู้สึกผิดหวังครับ เขาบอกเลยว่านี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่เขาผิดหวังมากที่สุดในชีวิต และเขายังมองหนังเรื่องนี้ว่า “จากหนังที่ควรจะเป็นแนวหักเหลี่ยมชิงเชิงและเจาะลึกลงไปในความรู้สึกของตัวละคร มันกลับกลายเป็นหนังแอ็คชั่นแบบก็อบปี้เจมส์ บอนด์ไปเสียอย่างนั้น”… จุดนี้ก็เข้าใจ Carlino เหมือนกันครับ และทำให้ผมถึงบางอ้อว่าทำไมหนังมันถึงดูมีช่องว่างแบบแปลกๆ คือในเรื่องนี่เราจะได้เห็นความสัมพันธ์ของอาร์เธอร์และสตีฟใช่ไหมครับ ทีนี้ระหว่างดูเนี่ย ผมก็แอบรู้สึกนะว่ามันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ “เหมือนๆ จะมี” แต่ก็ไม่มีในความสัมพันธ์ของพวกเขา มันรู้สึกเหมือนมีบางเรื่องบางประเด็นในสายสัมพันธ์ของพวกเขาที่ดูขาดหายไป ทำให้พอมาอ่านรายละเอียดตรงนี้ก็เลยเข้าใจครับว่ามันถูกถอดออกไป

สำหรับเกร็ดการสร้างหนังเรื่องนี้ ว่ากันว่าในตอนแรกคนที่จะมากำกับจะต้องเป็น Monte Hellman ที่เคยร่วมงานกับ Jack Nicholson ในเรื่อง The Shooting และ Ride in the Whirlwind แต่เนื่องจากผลงานก่อนหน้าของเขาอย่าง Two-Lane Blacktop กลับไม่ประสบความสำเร็จ เขาเลยโดนถอดออกจากตำแหน่ง แล้วผู้สร้างก็เชิญให้ Winner มากำกับแทน (ซึ่งก่อนที่จะทำเรื่องนี้ Winner ก็กำกับ Chato’s Land ที่แสดงโดย Bronson นั่นเอง)

และมีอยู่ช่วงหนึ่งครับที่ดารานำเกือบจะเป็น Cliff Robertson (ลุงเบนแห่ง Spider-Man ฉบับ Sam Raimi) และ Jeff Bridges

สรุปว่าผมโอเคกับหนังครับ แน่นอนว่าอาจมีบ้างส่วนที่ยังไม่ลงล็อคบ้าง มีอืดบ้าง แต่หนังก็ชดเชยด้วยการแสดงดีๆ และฉากแอ็คชั่นที่น่าพอใจ เป็นอีกหนึ่งงานชั้นดีของพี่หนวดหิน Charles Bronson ครับ

สองดาวครึ่งครับ

(7/10)