
หนังรักรอมคอม Netflix ประจำเทศกาลคริสต์มาสอีกเรื่องนะครับ เรื่องนี้ Lindsay Lohan มาแสดงนำเป็น เอเวอรี่ เบคเกอร์ ที่ใช้ชีวิตแบบตัวติดหนึบกับโลแกน (Ian Harding) มานานแสนนาน แต่แล้วจู่ๆ หลังจากเธอเสียแม่ไปเธอก็ตัดสินใจจะไปทำงานที่ลอนดอน นั่นทำให้โลแกนไม่โอเคอย่างแรง แล้วก็ดูเหมือนสายสัมพันธ์ของพวกเขาจะจบลงตรงนั้น… แบบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่
แล้วหลายปีต่อมาเอเวอรี่ก็มีแฟนนามว่าคาเมรอน (Jon Rudnitsky) แล้วเขาก็พาเธอไปพบครอบครัวในช่วงเทศกาล ซึ่งเอเวอรี่นั้นแสนจะเกร็งทุกทียามต้องเจอกับ เอริก้า (Kristin Chenoweth) แม่ของคาเมรอน แต่แล้วก็เหมือนโชคชะตาเล่นตลกครับ เมื่อเธอได้เจอโลแกนที่นั่น – เขาเป็นแฟนของน้องคาเมรอนพอดีน่ะครับ – ครั้นพอเจอพวกเขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้จักกัน เพื่อใครๆ จะได้ไม่กระอักกระอ่วน แล้วนั่นล่ะครับคือจุดเริ่มต้นของสารพัดความลับอีกทั้งสารพัดคำโกหกที่นำมาสู่เรื่องวุ่นๆ
อย่างแรกเลยที่ชอบคือแอนิเมชั่นตอนเปิดเรื่องครับ ที่บอกเล่าว่าเอเวอรี่กับโลแกนมีสายสัมพันธ์กันมาอย่างไรบ้าง แต่ที่ติดหน่อยๆ ในใจคือผมว่าแอนิเมชั่นนั้นวาดตัวผู้หญิงได้ไม่เหมือน Lohan เท่าไหร่นัก รอยต่อระหว่างแอนิเมชั่นกับตัวจริงๆ เลยมีจุดสะดุดนิดๆ – อันนี้คนอื่นอาจไม่เป็นนะครับ แต่ผมรู้สึกน่ะ
ส่วนตัวหนังก็ดูได้เรื่อยๆ ครับ เป็นหนังฮาผสมโรแมนติก กุ๊กกิ๊กในช่วงเทศกาล กำกับโดย Stephen Herek ที่ถือว่าเป็นมือเก๋าอีกคนของวงการ ผ่านงานมาแล้วทั้งหนังสยองอย่าง Critters, หนังเบาสมองอย่าง Bill & Ted’s Excellent Adventure, หนังกีฬาอย่าง The Mighty Ducks, หนังแอ็คชั่นผจญภัยอย่าง The Three Musketeers และหนังดราม่าชั้นดีอย่าง Mr. Holland’s Opus
สำหรับเรื่องนี้ก็ถือว่าเรื่อยๆ ครับ ดูได้เพลินๆ แต่ก็ยังไม่จับใจแบบเต็มๆ จริงๆ ผมว่าพล็อตมันมีประเด็นนะ ว่าด้วยเรื่องการโกหกและการปิดบังความจริงต่อกัน ประมาณว่าความสัมพันธ์ใดๆ ที่ก่อร่างขึ้นจากคำโกหกและไม่จริงใจต่อกันนั้น ยากที่จะอยู่ยั้งยืนยงได้ เพราะสุดท้ายความจริงมันก็ต้องปรากฏในสักวัน และเมื่อนั้นสายสัมพันธ์ก็จะสะเทือน

สำหรับบางคนสายสัมพันธ์ก็อาจจบลงตรงนั้น แล้วต่างคนต่างไป หรือบางคนบางคู่ก็อาจพยายามไปต่อ พยายามรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้ ซึ่งกับบางคู่ก็สามารถเริ่มใหม่ได้เมื่อต่างคนต่างก็ปรับปรุงอะไรๆ ให้มันดีขึ้น ไม่กลับไปโกหกหรือปิดบังเหมือนแต่ก่อนเก่า แต่กับบางคู่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังคงทำผิดซ้ำและโกหกซ้ำ บทสรุปของมันก็อาจกลายเป็นโศกนาฏกรรมได้ในที่สุด
ก็เข้าใจครับว่าบางครั้งสำหรับบางคน การโกหกมันคือทางเลือกหนึ่งที่อาจจะ Soft กว่า หรือบางครั้งการพูดความจริงกับบางคนมันอาจมีแต่แย่กับแย่ ดังนั้นโกหกอ้อมๆ หน่อยก็อาจจะดีกว่า อันนี้ก็คงแล้วแต่บริบทน่ะนะครับ เพราะจริงๆ การโกหกมันก็เปรียบเหมือนนวัตกรรมอย่างหนึ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นนั่นแหละ เหมือนมีดหรือของมีคน ที่ใช้ทำประโยชน์ก็ได้ หรือใช้มันในเชิงทำลายก็ได้ อันนี้เราก็ควรใคร่ครวญหวนคิดให้ดีเสมอก่อนจะโกหกน่ะครับ เพราะมันเป็นนวัตกรรมที่ต้องใช้วิจารณญาณเยอะอยู่เหมือนกัน
ส่วนในหนังเรื่องนี้ก็สอดแทรกสาระที่ว่า แต่จะสรุปออกมาในโทนว่าอย่าโกหกเลย เอาความจริงมาเปิดใจพูดกันดีกว่า บางอย่างอาจเจ็บแต่อย่างน้อยมันก็จบนะ แล้วต่างคนต่างก็จะได้แยกย้ายกันไปทำอย่างอื่นที่อยากทำกัน “จริงๆ” ไม่ต้องมากล้ำกลืนแอบซ่อนกัน
นอกจากนี้หนังยังมีมุมที่สื่อว่า การอยู่กับคำโกหกหรือการหลอกตัวเองนั้น สุดท้ายมันก็จะมีแต่พอกพูนความหลงผิดและกลายเป็นความบิดเบี้ยว เหมือนตัวละครหนึ่งในเรื่องที่หลอกตัวเองอยู่กับภาพลวงที่แสนสวยงาม ในขณะที่ความจริงนั้นครอบครัวและคนรอบตัวกลับเละเทะไปถึงไหนๆ และบางคนในครอบครัวนี่ออกแนวนารำคาญ หรือบางคนก็เจ้าเล่ห์และไม่รู้สำนึกจนน่ากลัวเลยล่ะ – ชักเริ่มคิดแล้วว่าคนน่ากลัวๆ เจ้าเล่ห์ๆ บางคนในสังคมโลกนี่เขาโตมากับอะไรแบบนี้หรือเปล่าน้า – เพราะครอบครัวก็เป็นเบ้าหลอมให้คนๆ นั้น ไม่มากก็น้อยล่ะครับ
โดยสาระประเด็นถือว่าเข้าท่าครับ เพียงแต่การเล่าเรื่องอาจยังไม่กลมกล่อมลงล็อคเต็มที่ คือมันก็เพลินๆ นั่นแหละ แต่ดีกรีความสนุกหรือความลื่นอาจยังไม่เต็มร้อย โดยสิ่งหนึ่งที่ผมว่าหนังพร่องไปคือเรื่องราวส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างเอเวอรี่กับแม่ที่จากไป ซึ่งหนังเอาปมนี้มาเลล่นค่อนข้างเยอะในตอนหลังๆ แต่เผอิญว่าก่อนหน้าหนังไม่ค่อยปูส่วนนี้เอาไว้สักเท่าไรน่ะครับ พล็อตส่วนนี้มันเลยยังอินไม่เยอะ – ไม่รู้สิ ถ้าหนังมีการแทรกประเด็นแม่ให้ลึกซึ้งถึงอารมณ์กว่านี้ในตอนต้น (ที่เล่าด้วยแอนิเมชั่น) ประเด็นนี้อาจซึ้งกว่าที่เป็นก็ได้

ส่วนนักแสดงนั้น Lohan ผมว่ากลางๆ ครับ คือหนังก็เน้นเธอนะ แต่ผมว่า Harding ในบทโลแกนดูเด่นกว่า ดูมีอะไรมากกว่า คืออย่างหนึ่งที่หนังทำให้ผมเชื่อก็คือ เชื่อว่าสุดท้ายเอเวอรี่ก็ต้องมารักโลแกนแน่ๆ ไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นสูตรนะครับ แต่เพราะโลแกนในเรื่องนี่ดูเป็นผู้ชายที่พึ่งพาได้ จริงใจ ช่างคิด เซ็นซิทีฟ คือถ้าเอเวอรี่ไม่เลือกนี่เธอก็พลาดแล้วล่ะ ซึ่งความดีความชอบจุดนี้ผมยกให้ Harding เลยครับ ถือว่าเล่นได้ดีจริงๆ
อีกคนที่ถือว่าเด่นโดยธรรมชาติคือ Chenoweth ที่รายนี้เล่นเรื่องไหนเด่นเรื่องนั้น และเล่นได้หลายบทด้วย อย่างใน A Christmas Love Story ที่เป็นนางเอก เธอก็ดูน่ารักและฉลาดจนไม่แปลกใจที่พระเอกจะชอบ หรือบทสมทบใน Holidate ก็ขโมยซีนได้เป็นพักๆ กับเรื่องนี้ผมว่าเธอก็ยังคงเส้นคงวาครับ – ชอบมากฉากที่เอเวอรี่ดูรูปภาพครอบครัวของเอริก้าในโถงทางเดินจนรู้สึกหลอนน่ะครับ ฉากนั้นฮาแบบธรรมชาติมากๆ
โดยรวมแล้วผมโอเคกับหนังครับ ดูได้เพลินๆ ในแบบที่ยังดีได้อีก ยังปรุงรสเพิ่มได้อีก ในขณะที่สาระถือว่าโอเค และถ้าผมจะชอบอะไรที่สุดที่มีในหนังเรื่องนี้ ผมยกให้เพลงตอน End Credits ครับ ถือว่าใช้ปิดเรื่องได้เหมาะมากๆ ทำนองดี ดนตรีเพราะ ได้อารมณ์กรุิ๊งกริ๊งวันคริสต์มาส – เพลงที่ว่านี้คือ It’s Christmas ของ Amber Woodhouse
สรุปว่าดูได้เพลินๆ ครับ ส่วนหนึ่งอาจเพราะผมไม่ได้คาดหวังด้วย ก็เลยได้เรื่อยๆ
สองดาวหน่อยๆ ครับ
![]()
(6/10)
หมวดหมู่:Christmas Movies, Comedy, Movie Reviews, Romance, Romance Romance, Romantic Comedy










