
ระยะหลังนี่การดูหนังใหม่ของพี่มาโนช (M. Night Shyamalan) จะออกแนวเหมือนแวะไปหาเพื่อนเก่าครับ เพื่อนเก่าที่เคยเล่าเรื่องสนุกๆ ให้เราได้ฟัง แม้เรื่องใหม่ที่เขาเล่าอาจไม่สนุกเท่าเรื่องเก่าก่อนที่เราเคยประทับใจ แต่ด้วยความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้หรือไม่ก็ด้วยรสมือที่คุ้นเคย เลยทำให้เราพร้อมจะไปฟังเขาเล่าเรื่องอยู่เรื่อยๆ – ด้วยความไม่คาดหวัง
เรื่องเล่าหนนี้ก็ว่าด้วยคุณพ่อที่ชื่อคูเปอร์ (Josh Hartnett) พาลูกสาววัยใสนามว่า ไรลี่ย์ (Ariel Donoghue) ไปดูคอนเสิร์ตของไอดอลที่เธอชอบมากๆ อย่างเลดี้เรเวน (Saleka Shyamalan) แต่ทีนี้ระหว่างดูคูเปอร์ก็สังเกตเห็นว่างานนี้ดูเหมือนจะมีเจ้าหน้าที่เยอะพิกล แล้วเขาก็ได้คำตอบว่าแท้จริงแล้วเจ้าหน้าที่ทางการตั้งใจใช้งานนี้เป็นกับดักเพื่อจับตัวฆาตกรต่อเนื่องชื่อดังนามว่าเดอะ บุชเชอร์
ทีนี้คูเปอร์ก็ตระหนกล่ะครับ เพราะฆาตกรบุชเชอร์ที่ว่า ก็คือเขานี่แหละ
หนังออกแนวเรื่อยๆ ครับ นี่คือสำหรับผมนะ คือดูได้เรื่อยๆ ผมว่าการเล่าเรื่องของพี่มาโนชยังคงโอเคอยู่ อาจไม่ถึงขั้นชวนติดตามแบบโคตรๆ แต่ยังไม่ถึงขั้นน่าเบื่อ ส่วนหนึ่งก็คงเพราะการแสดงของ Hartnett ที่ดูจะเหมาะกับบทนี้ แล้วขณะเดียวกันใจเราก็อยากรู้ว่าเรื่องมันจะไปจบที่ตรงไหน ซึ่งถ้าดูภาพรวมไปจนหนังจบ ผมว่าหนังก็ไม่ได้ขี้ริ้วครับ เพียงแค่มันอาจยังไม่เด่นมากมายเท่านั้น
ยอมรับว่าระหว่างดูก็แอบคิดว่าถ้าหนังเน้นให้คูเปอร์ใช้สมองในการเอาตัวรอดหรือใช้ในการแก้เกมแบบมันส์ๆ ก็คงดี ซึ่งจริงๆ หนังก็ไปในทางนั้นครับ เพียงแต่มันยังไม่เข้มข้น การแก้เกมดูเหมือนจะง่ายไปหน่อย คือกลายเป็นว่าโจทย์ที่คูเปอร์เจอมันไม่ได้ยากอะไร เจ้าหน้าที่ที่อยู่กันเต็มคอนเสิร์ตก็ไม่ได้เก่งมากมาย หรือตัวละครอย่าง ดร. โจเซฟิน (Hayley Mills) ที่หนังแนะนำประหนึ่งจะมาปราบเขาโดยเฉพาะนั้น ตอนแรกก็นึกว่าจะมาเล่นเกมจิตวิทยากับคูเปอร์แบบลุ้นๆ แต่ไปๆ มาๆ ก็ไม่เท่าไร
โดยส่วนตัวมองว่าหนังจะสนุกไหมก็อยู่ที่ว่าคูเปอร์ต้องเค้นสมองในการแก้โจทย์แค่ไหนน่ะครับ แต่นี่กลายเป็นว่าหลายอย่างดูจะเป็นใจให้คูเปอร์มากไปหน่อย ความลุ้นเลยไม่เยอะ

ส่วนครึ่งหลังก็ออกแนวเรื่อยๆ อีกเช่นกันครับ คือเหมือนหนังไม่มาเน้นการล่อหลอกคนดูอีกแล้ว เหมือนเลือกจะเล่าไปตรงๆ ซื่อๆ อย่างนั้นเลย บางปมก็เฉลยแบบง่ายมาก – อย่างเหตุผลว่าทำไมทางการถึงแน่ใจว่าบุชเชอร์จะไปงานคอนเสิร์ต ปมนี้ก็ถูกเล่าแบบง่ายมากจนแอบอึ้งว่า “เอาอย่างนี้เลยเรอะ” – ส่วนบทสรุปของหนังก็ไม่เกินคาดเดา โดยเฉพาะช็อตสุดท้ายนั่นมันเป็นอะไรที่ลงสูตรมากๆ
ดูจบแล้วก็รู้สึกว่าไม่แย่ครับ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ชอบอะไร คิดว่าคงไม่ย้อนไปดูซ้ำ หรือถ้าให้เทียบกับผลงานก่อนหน้านี้ของพี่มาโนชอย่าง Old หรือ Knock at the Cabin ผมก็ว่า 2 เรื่องนั้นโอเคกว่าครับ – อย่างหนึ่งที่รู้สึกเลยว่าต่างคือ 2 เรื่องนั้นบรรยากาศมันยังตึงเครียด มันยังมีความกดดัน แต่กับเรื่องนี้มันดันดูชิลๆ ยังไงก็ไม่รู้ อย่างที่บอกน่ะครับว่าโจทย์ที่คูเปอร์เจอมันยังไม่บีบเค้นถึงขนาดจะให้คนดูลุ้นหรือเครียดตาม
แต่อย่างหนึ่งที่โอกว่าที่คิดคือการแสดงของ Saleka Shyamalan ลูกสาวพี่มาโนชที่เหมาะกับบทอยู่เหมือนกัน และซีนอารมณ์ก็ถือว่าเล่นได้ดีอยู่
ก็จบไปหนึ่งเรื่องครับ ทีนี้ก็รอดูเรื่องต่อไปของพี่เขาว่าจะเป็นยังไง และอย่างหนึ่งที่ผมว่าพี่เขาตัดสินใจถูกคือการสร้างหนังแบบทุนไม่สูง โอกาสขาดทุนน้อย อย่างเรื่องนี้ทุนสร้าง $30 ล้าน ได้คืนมา $82 ล้านจากทั่วโลก ก็นับว่าใช้ได้ล่ะครับ พวกกำไรก็ค่อยไปเก็บตอนขายแผ่นและลงสตรีมเอา ปิดประตูขาดทุนกันไป ก็ถือว่าพี่เขาก้าวอย่างฉลากครับ
สรุปว่าถ้าเป็นแฟนพี่มาโนช ก็ลองดูครับ ขอเพียงไม่คาดหวัง ผมว่าหนังก็ไม่แย่นะ ดูได้เพลินๆ อยู่
ปล. อันนี้ผมคิดนะ ว่าจริงๆ พี่คูเปอร์ไม่ต้องดิ้นมากก็ได้ครับ แค่ทำตัวปกติไปเรื่อยๆ เนียนไปเรื่อยๆ แบบนี้น่าจะดีกว่า แต่นี่พี่เล่นดิ้นตลอดงานจนผมแอบเสียวแทนเลยว่าพี่จะโดนจับได้ (เพราะมัวแต่ดิ้น) หรือเปล่าเนี่ย?
หรือถ้าจะมองจากประเด็นนี้ ก็อาจกล่าวได้ว่า “กับดักไหนๆ ก็ไม่ใหญ่ เท่ากับดักที่เกิดจากใจของเราเอง”
สองดาวครับ
![]()
(6/10)
หมวดหมู่:Crime, Movie Reviews, Mystery, Thriller










