Action

Crimson Tide (1995) คริมสัน ไทด์ ลึกทมิฬ

Untitled07844

ปี 1995 ถือเป็นปีที่คู่หูผู้อำนวยการสร้าง Don Simpson และ Jerry Bruckheimer กลับมาผงาดอย่างเต็มภาคภูมิ – หลังจากสะดุดไปกับ Days of Thunder – โดยปีนั้นพวกเขามีหนังฮิตถึง 3 เรื่อง ได้แก่ Bad Boys, Dangerous Minds และ Crimson Tide ที่ผมกำลังจะพูดถึง

Crimson Tide ถือเป็นหนังเรือดำน้ำสายเข้มที่ทำออกมาได้อย่างน่าติดตามครับ มีครบทั้งความตื่นเต้น ระทึกขวัญ และความลุ้น โดยเปิดเรื่องมาหนังก็เกริ่นให้เราได้ทราบสถานการณ์คร่าวๆ ในหนังว่าตอนนี้ วลาดิเมียร์ เเรดเชงโก้ (Daniel von Bargen) ผู้นำฝ่ายกบฏของรัสเซียที่ขู่จะถล่มอเมริกาด้วยนิวเคลียร์ ทำให้อเมริกาต้องเตรียมพร้อมรับมือในทุกภาคส่วน

แล้วหนังก็โฟกัสมาที่เรือดำน้ำยูเอสเอสแอละแบมาที่มีผู้บัญชาการคือ นาวาเอกแฟรงค์ แรมซี่ย์ (Gene Hackman) และมีนาวาตรีรอน ฮันเตอร์ (Denzel Washington) เป็นรองผู้บัญชาการ ซึ่งความตึงเครียดมันมาเริ่มต้นขึ้นเมื่อระบบสื่อสารในเรือดำน้ำเกิดเสีย ทำให้รับคำสั่งจากเบื้องบนได้ไม่ครบ และจากข้อมูลที่ได้มา (แบบไม่ครบ) นั้นทำให้ผู้การแรมซี่ย์เชื่อว่าเขาควรจะต้องปล่อยขีปนาวุธจู่โจมพวกรัสเซีย ในขณะที่ฮันเตอร์มองว่าเนื่องจากข้อมูลที่ได้ยังไม่ครบ ดังนั้นการยิงขิปนาวุธออกไปอาจเป็นการจุดชนวนสงครามโลกก็เป็นได้

จริงๆ ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นการปะทะกันทางความคิดระหว่างแรมซี่ย์และฮันเตอร์อยู่เรื่อยๆ ครับ ช่วงต้นๆ ก็ถือว่าปะทะแบบเบาๆ แต่ก็สื่อให้เราเห็นเลยว่ามุมมองของพวกเขามีความแตกต่างกันอยู่พอตัว ครั้นพอเกิดเรื่องขึ้นทีนี้หนังก็ตึงเครียดล่ะครับ เรียกว่าระอุมาคุไปทั้งลำเรือเลย ซึ่งอันนี้ต้องยอมรับเลยว่าการแสดงของ Hackman และ Washington นั้นถือว่าเด็ดทั้งคู่ ตอนทุ่มเถียงทุ่มอารมณ์ใส่กันนี่ดูสมจริงมากๆ ซึ่งผมถือว่าการเจอกันของ 2 นักแสดงยอดฝีมือนี่คือไฮไลท์สำคัญของหนังเลยล่ะครับ

นอกจากการแสดงเยี่ยมๆ แล้ว ตัวบทก็เขียนได้ดี ตั้งแต่การแจกแจงตัวละครหลักๆ ให้เราได้เห็นคร่าวๆ ว่าใครเป็นใคร และใครอยู่ฝั่งไหนยามเกิดเรื่องขึ้น รวมถึงสถานการณ์ในเรื่องก็มีความกดดันพุ่งใส่คนดูอย่างต่อเนื่อง เพราะมันไม่ได้มีแค่การขัดแย้งกันระหว่างแรมซี่ย์และฮันเตอร์เท่านั้น มันยังมีเหตุแทรกซ้อนเกิดขึ้นในเรือ ไหนจะเรือดำน้ำฝ่ายข้าศึกอีก อะไรเหล่านี้ทำให้หนังน่าติดตามและอุดมความระทึกไปตลอดตั้งแต่ต้นจนจบครับ

นอกจากดารานำแสดงได้แข็งแรงแล้ว ดาราสมทบแต่ละคนก็เสริมอารมณ์ให้หนังได้อย่างพอเหมาะ ไม่ว่าจะ Matt Craven, George Dzundza, Viggo Mortensen, James Gandolfini, Rocky Carroll, Danny Nucci และเรายังจะได้เจอกับ Steve Zahn และ Ryan Phillippe ในวัยละอ่อนด้วย

ด้านงานฉากก็ถือว่าอย่างเจ๋งครับ มันให้อารมณ์เหมือนพาเราไปอยู่ในเรือดำน้ำได้จริงๆ บวกด้วยงานภาพของ Dariusz Wolski ที่จับภาพบรรยากาศในเรือดำน้ำมาถ่ายทอดแบบได้อารมณ์ ฉากไหนผ่อนคลายหน่อยมุมกล้องก็จะทำให้เรารู้สึกว่ามันโปร่งๆ ไม่อึดอัดอะไรมาก แม้พื้นที่มันจะคับแคบก็เถอะ แต่พอฉากไหนตั้งใจจะทำให้เรากดดันล่ะก็ ต่อให้เป็นห้องโถงใหญ่ที่กว้างกว่าส่วนอื่นๆ เราก็จะรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวขึ้นมาในบัดดล

Untitled07845

อีกหนึ่งแรงที่ขับดันอารมณ์หนังได้อย่างทรงพลังก็ต้องยกให้งานดนตรีของ Hans Zimmer ครับ อันนี้จำได้เลยว่าสมัยนั้นเนี่ยบ้านเราก็เอาดนตรีจากหนังเรื่องนี้มาใช้กันแบบอุตลุด ไม่ว่าจะในละครหรือรายการข่าวและสารคดีต่างๆ ไหนจะตัวอย่างหนังอีกสารพัดเรื่องก็เอาดนตรีชุดนี้ไปใช้ เรียกว่าได้ยินกันจนแทบจะจำตัวโน้ตได้เลยล่ะ

และแน่นอนว่าคนที่ไม่ชมไม่ได้เลยคือผู้กำกับ Tony Scott ครับ ลุงเขาคุมหนังเรื่องนี้ได้แบบอยู่หมัดจริงๆ อีกทั้งยังสามารถเอาสารพัดของดีที่หนังมีมาช่วยกันขับเน้นเพื่อสร้างพลังให้กับการเล่าเรื่องอย่างได้ผล – ต้องบอกเลยครับว่าหนังเรื่องไหนต่อให้มีของดีและองค์ประกอบที่ดีอยู่เต็มเรื่องก็ตาม แต่หากคนคุมคนปรุงมือไม่ถึงล่ะก็ หนังเรื่องนั้นย่อมไม่สามารถฉายแสงเปล่งประกายได้แบบเต็มฟอร์ม – แต่กับเรื่องนี้ ถือว่าถึงฟอร์มอย่างสวยเลยล่ะครับ

สาระสำคัญของหนังที่ดูทีไรก็จะเอามาเตือนตัวเองเสมอก็คือ เวลาเราจะทำอะไรนั้นควรต้องมีสติเสมอ และสิ่งที่ต้องพึงระวังอย่างที่สุดคือการโดนอารมณ์ครอบงำ ยิ่งเวลาเราจะตัดสินใจอะไรสักอย่างเนี่ย เราควรต้องใจเย็น และควรต้องรวบรวมข้อมูลให้รอบด้านมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ – เราไม่ควรด่วนตัดสินใจอะไรลงไปทั้งๆ ที่ข้อมูลก็ยังไม่ครบ ยิ่งตัดสินใจด้วยอารมณ์นี่ยิ่งต้องระวังเลยล่ะครับ เพราะการทำแบบนั้นมันพาคนมากมายเข้ารกเข้าพงกันมานักต่อนักแล้ว

และบางครั้งการฟังความคิดเห็นหรือมุมมองของคนอื่นบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายครับ จริงๆ มันเป็นเรื่องดีซะอีกนะ เพราะการฟังมุมมองมุมคิดที่ต่างออกไปก็เท่ากับเราได้เปิดโลกทัศน์ ได้เปิดมุมมองของเราให้กว้างไกลยิ่งขึ้น อันจะทำให้เรามองสิ่งต่างๆ ได้รอบด้านมากขึ้น มองได้หลากหลายมากขึ้น และบางทีมันอาจทำให้เรามองสิ่งที่เราคิดว่าเราเข้าใจมันอยู่แล้ว ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

โดยส่วนตัวผมชอบมองว่าการที่เราได้รับรู้มุมคิดที่แตกต่างนั้น มันก็เหมือนการได้ทะลวงจุดสำคัญต่างๆ ในร่างกายแบบหนังกำลังภายในน่ะครับ บางครั้งในบางปัญหาที่เรายังหาทางออกไม่เจอ หรือกับบางเรื่องบางประเด็นที่เรายังขบไม่แตกคิดไม่ตก นั่นอาจเพราะเรายังไม่ได้รับการทะลวงจุดที่เหมาะสม ดังนั้นการตะลุยยุทธจักรไปพบพานกับสารพัดมุมคิด สารพันมุมมองนั้นมันอาจช่วยทะลวงจุดให้เรามองบางสิ่งได้ทะลุ อันอาจจะช่วยให้เราวิ่งผ่านปัญหาได้ และเข้าใจสิ่งที่เคยไม่เข้าใจได้

และคำพูดที่ผมชอบที่สุดในเรื่องก็คือ “พวกคุณทำถูกทั้งคู่… แล้วก็ทำผิดทั้งคู่” เป็นการสรุปเรื่องราวได้ชวนคิดอย่างยิ่งครับ

ตัวหนังนั้นประสบความสำเร็จอย่างดีครับ ทำเงินทั่วโลกไป $157 ล้าน จากทุนสร้างราว $53 ล้าน ก็กำไรสวยๆ เลยล่ะครับ

สรุปว่านี่เป็นหนังเรือดำน้ำที่เข้มข้นเข้าขั้น ระทึกกันได้เรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ และที่สำคัญคือหนังมาพร้อมสาระที่ชี้ชวนให้เรามีสติอยู่เสมอ รวมถึงเห็นโทษของการที่คนใช้อารมณ์เป็นเครื่องนำทาง

สามดาวกันไปครับ

Star31

(8/10)