
กล่าวได้ว่า Enter the Dragon หรือ ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง มังกรประจัญบาน ถือเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของ Bruce Lee ที่ทำออกมาเสร็จสมบูรณ์จริงๆ ก่อนที่ Bruce Lee จะเสียชีวิตไป ในขณะที่เรื่อง Game of Death นี่เป็นหนังที่ยังถ่ายทำไม่เสร็จครับ แต่ Lee ก็มาเสียชีวิตไปก่อน และถ้าให้ว่าตามจริงแล้ว Game of Death ที่เราได้ดูกันนี้ ก็ยังไม่ใช่ Game of Death ของจริง แบบที่มันควรจะเป็น
ขอเล่าย้อนแบบนี้ครับ คือจริงๆ แล้ว Game of Death คือโปรเจคท์ที่ Lee ตั้งใจจะกำกับและแสดงนำ อีกทั้งเขายังเขียนบทเองด้วย โดยเนื้อเรื่องดั้งเดิมนั้น Lee จะรับบทเป็น ไห่เทียน ยอดนักสู้ระดับแชมป์เปี้ยนที่ล้างมือจากวงการ แต่เขาก็ต้องเผชิญกับแก๊งวายร้ายเกาหลี และไฮไลท์อยู่ตรงที่แก๊งวายร้ายนี้มีเจดีย์สูงหลังหนึ่ง โดยชั้นบนสุดเนี่ยจะมีของมีค่าถูกเก็บรักษาอยู่ และแต่ละชั้นก็จะมีบอสครับ ไห่เทียนก็ต้องฝ่าด่านแต่ละชั้นไปยังชั้นบนสุดให้ได้
เขาเริ่มถ่ายทำหนังเรื่องนี้ราวๆ เดือนกันยายน – ตุลาคมของปี 1972 โดยเริ่มจากฉากไคลแม็กซ์ก่อน ซึ่งก็คือฉากที่ไห่เทียนปะทะกับแมนทิส (Kareem Abdul-Jabbar) ผู้พิทักษ์บนชั้นที่ 5 แต่ทีนี้พอเขาถ่ายทำไปสักพักทางฮอลลีวู้ดก็มาตามตัวเขาให้ไปแสดง Enter the Dragon ทำให้ Lee ตัดสินใจพักการถ่ายทำเรื่องนี้ไว้ก่อน แล้วไปเดินหน้าทำ Enter the Dragon ให้เสร็จ
ครั้นพอถ่ายทำเสร็จก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันครับ นั้นคือ Lee เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 1973 ทำให้โปรเจคท์ Game of Death ค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น จนหลายฝ่ายคิดว่าหนังเรื่องนี้คงจะล่มไปแล้ว แต่ทีนี้ตอนที่ Enter the Dragon ออกฉายนั้น มันทำเงินถล่มทลายไปทั่วโลกครับ เลยทำให้ทาง Golden Harvest และผู้กำกับ Robert Clouse (แห่ง Enter the Dragon) เห็นโอกาส ก็เลยมาร่วมมือกันทำ Game of Death ต่อ โดยจัดแจงปรับพล็อตไปเป็นอีกแบบ
ตัวเอกของหนังฉบับนี้คือบิลลี่ เป็นนักแสดงสายบู๊ชื่อดังที่เกิดไปมีปัญหากับพวกมาเฟียเข้า บิลลี่เลยตัดสินใจแกล้งตายแล้วก็ปลอมตัว (โดยใส่หนวดใส่เครา) ก่อนจะย้อนมาจัดการองค์กรมาเฟียนี้ให้สิ้นซากไป
แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้นำแสดงโดย Bruce Lee ครับ โดยทางออกของทีมงานก็คือให้คนหน้าคล้ายและท่าทางคล้าย Lee มาเข้าฉากแทน ซึ่งก็ได้แก่ Kim Tai-jong, หยวนเปียว (Yuen Biao) และ Albert Sham 3 คนนี้สลับกันเล่นเป็นบิลลี่ ซึ่งจริงๆ เราก็ดูออกแหละครับว่าคนที่อยู่ในฉากเหล่านั้นไม่ใช่ Lee แน่นอน แต่ก็เหมือนหนังจะชวนให้คนดูหลับหูหลับตาและยอมเออออไปกับหนังน่ะครับ แล้วก็จะมีบางฉากที่หนังเอาฟุตเตจจากหนังเรื่องก่อนๆ ของ Lee มาตัดใส่ลงไปแทน และบางฉากนี่ถึงขนาดเอารูป Lee มาตั้งน่ะครับ ขนาดดูผ่านๆ ยังดูออกเลยว่านี่มันป้ายรูป Bruce Lee ชัดๆ – ก็เป็นความพยายามของทีมงานน่ะนะครับ
เราจะได้เห็น Bruce Lee แบบเต็มตาจริงๆ ก็ตอนไคลแม็กซ์ครับ โดยหนังเอาฉากต่อสู้ที่ Lee ได้ถ่ายเอาไว้มาใส่ลงไป โดยเนื้อเรื่องของฉากก็ถูกเปลี่ยนจากการสู้กันในเจดีย์ กลายเป็นสู้กันในชั้นบนของภัตตาคารที่เป็นฐานของผู้ร้ายแทน

เอาล่ะ ผมก็เล่าเบื้องหลังไปแล้วนะครับ ทีนี้ขอพูดบ้างว่าแล้วเบื้องหน้าที่เป็นหนังออกมาน่ะ ผมรู้สึกอย่างไร
อย่างแรกคือฮาครับ 555 ยอมรับว่ามันก็รู้สึกแปลกๆ นะ คือหนังพยายามทำเหมือนกับว่าคนที่มาแสดงแทนนั้นคือ Bruce Lee แต่ดูก็รู้ว่ามันไม่ใช่อ้ะ และการแสดงของคนที่มาเล่นมันก็ดูแปลกๆ แหม่งๆ คือดูไม่เข้าพวกกับตัวละครอื่นที่เราจะได้เห็นหน้าตาและท่าทางแบบชัดเจน ก็เข้าใจน่ะครับว่าหนังก็พยายามถ่ายแบบหลบมุมกล้องบ้าง ถ่ายแบบผ่านๆ บ้าง แต่ระหว่างดูมันก็รู้สึกได้อยู่ดีว่าคนที่เห็นนี่ไม่ใช่ Lee แน่นอน
แล้วหนังก็พยายามแบ่งพื้นที่บนจอให้กับตัวละครอื่นๆ น่ะครับ ไม่ว่าจะฝั่งผู้ร้ายหรือแฟนของบิลลี่ที่ชื่อ แอนน์ (Colleen Camp) ซึ่งฝั่งผู้ร้ายก็ยังพอไหวครับ แต่ Camp ที่แสดงเป็นแอนน์นี่ดูเล่นแบบเกินเบอร์ยังไงก็ไม่รู้ คือเธอจะดูโอเวอร์แอ็คตลอด อย่างตอนที่บิลลี่โดนรุมทำร้ายเธอก็จะส่งเสียงวี๊ดว๊าย แสดงท่าทางแบบเยอะมากจนผมแอบขำน่ะ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร เพราะที่เคยเห็น Camp แสดงในเรื่องอื่นเธอก็ไม่ได้เป็นแบบนี้นะ และจริงๆ เธอออกจะน่ารักอีกด้วย – แต่กับหนังเรื่องนี้เธอกลายเป็นดูเกินเบอร์ไปเลย
ยอมรับว่าระหว่างดูนี่มันรู้สึกถึงความล้นๆ หรือไม่ก็ขาดๆ ของหนังอยู่เป็นพักๆ ครับ และในส่วนของการเล่าเรื่องนี่ก็ต้องบอกตามตรงว่าไม่ค่อยน่าติดตามนัก ส่วนหนึ่งอาจเพราะโฟกัสของหนังมันเคลื่อนน่ะครับ ประมาณว่าจะโฟกัสพระเอกมากก็ไม่ได้ – เพราะต้องถ่ายแบบหลบๆ ผ่านๆ – เลยไปเน้นที่ตัวละครอื่นแทน แต่ตัวละครอื่นยังไงก็ไม่ใช่ตัวละครเอกน่ะครับ หนังมันเลยแปร่งๆ
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมโอเคคือคิวบู๊ครับ คือเรื่องการแสดงและการเล่าเรื่องน่ะไม่ดึงดูด แต่พอถึงคราวต้องบู๊นี่ คนที่เล่นเป็นบิลลี่ก็ดูบู๊ได้ดี (ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือหยวนเปียวนั่นแหละครับ) อย่างน้อยลีลาบู๊ก็ดูเป็นคนมีของ มีวิชากังฟูจริงๆ อยู่ เลยทำให้พอถึงฉากต้องบู๊เมื่อไรมันก็ดูน่าสนใจขึ้นมาบ้าง

และไฮไลท์ของหนังก็สมกับที่เป็นไฮไลท์จริงๆ ครับ นั่นคือฟุตเตจที่ Bruce Lee สู้กับผู้ร้ายโดยใส่เสื้อสีเหลืองที่มีแถบสีดำ เป็นฉากตอนไคลแม็กซ์ที่ผมบอกได้เลยว่ามันสนุกกว่าหนังทั้งเรื่องเสียอีก คือลีลาของ Bruce Lee ในฉากเหล่านี้มันดูมีเสน่ห์มากน่ะครับ ดูมีลูกเล่น และแน่นอนว่าฉากต่อสู้ก็ดูน่าสนใจ ดูมันส์และดูสวย จนทำให้ผมรู้สึกคุ้มค่าขึ้นมาทันทีเลย เพราะก่อนหน้านี้ต้องทนดูมาเป็นชั่วโมงกับความแปร่งหลายๆ ประการ จนเกือบจะรู้สึกไม่ชอบหนังอยู่แล้ว แต่พอมาเจอฉากที่ Bruce Lee ปล่อยของนี่ มันชอบเลยน่ะครับ ถือว่าคุ้มที่ทนรอดูมาตั้งชั่วโมง
และแน่นอนว่าผมรู้สึกเสียดายครับ นี่ถ้า Bruce Lee ทำหนังออกมาเสร็จตามที่เขาตั้งใจจริงๆ น่ะ มันจะเจ๋งแค่ไหนนะ
ดังนั้นก็สรุปได้เลยครับว่าหนังน่ะ จริงๆ ก็ธรรมดา – แต่อันนี้ก็ต้องบอกเหมือนกันว่า แม้ตัวหนังจะมีความแปร่งในหลายๆ ส่วน แต่มันก็ไม่ถึงกับแย่นะครับ ยังพอดูได้ แค่ว่าไม่สนุกอะไรมากเท่านั้น – แต่ความคุ้มน่ะมาอยู่ตรงตอนท้ายครับ การได้เห็น Bruce Lee สู้ด้วยลีลาเด็ดๆ ของเขาเนี่ย มันคุ้มจริงๆ
แล้วหนังก็ถือว่าดังเมื่อตอนออกฉายครับ แม้จะมีเสียงบ่นบ้างแต่คนก็ยังอยากตีตั๋วเข้าไปดู และมันก็ทำเงินทั่วโลกไปราว $50 ล้าน ซึ่งหากปรับค่าเงินเป็นยุคปัจจุบันแล้ว (ปี 2024) จะเท่ากับหนังทำเงินไปกว่า $230 ล้านทีเดียวล่ะครับ
เกร็ดเล็กๆ ที่อยากบอกคือ นอกจากหยวนเปียวแสดงเป็นบิลลี่ในฉากต่อสู้แล้ว เรายังจะได้เห็นพี่หมูหินหงจินเป่าของเราแสดงด้วยครับ ขาดก็แต่เฉินหลงที่ไม่ได้มา แต่ถ้าว่ากันถึง Game of Death ฉบับดั้งเดิมแล้วล่ะก็ เฉินหลงมีบทนะครับ เขาจะได้แสดงเป็นแฟนพันธุ์แท้ของไห่เทียนที่เดินมาขอลายเซ็นต์น่ะครับ และว่ากันว่าเหลียงเฉาเหว่ยมาเล่นเรื่องนี้ด้วย แต่ผมหาไม่เจอเหมือนกันครับว่าพี่แกโผล่มาตอนไหน – ลองไปหากันดูนะครับ
และจริงๆ ทีมงานได้มีการทาบทามดาราอย่าง Steve McQueen, James Coburn และ Muhammad Ali ให้มาร่วมแสดง แต่ทุกคนต่างปฏิเสธเนื่องจากมองว่าหนังเรื่องนี้สร้างขึ้นเพื่อหาประโยชน์จาก Bruce Lee – และอีกกระแสหนึ่งก็บอกด้วยว่า ที่พวกเขาปฏิเสธก็เพราะ Golden Harvest เสนอค่าตัวต่ำเกินไป – รวมถึง Kareem Abdul-Jabbar ที่ปฏิเสธจะมาถ่ายทำเพิ่มเติมด้วย
นอกจากนี้ตอนแรก Lee ยังเคยทาบทามให้ George Lazenby อดีตเจมส์ บอนด์คนที่ 2 – ซึ่งเป็นเพื่อนซี้กับ Lee ด้วย – ให้มาร่วมแสดงใน Game of Death ฉบับของเขา แต่หลังจาก Lee เสียชีวิต Lazenby ก็เลือกที่จะไม่ยุ่งกับโปรเจคท์นี้
ก็สรุปอีกทีว่า หนังนั้นไม่มีอะไรครับ แต่ของดีคือฉากไคลแม็กซ์ที่เราจะได้เห็นลีลาของ Bruce Lee เป็นครั้งสุดท้าย ที่เขาได้ฝากไว้ในโลกภาพยนตร์
สองดาวครับ
![]()
(6/10)
หมวดหมู่:Action, Crime, Drama, Kung Fu, Martial Arts, Movie Reviews, Thriller










