Action

Under Paris (2024) มฤตยูใต้ปารีส

Untitled07667

เปิดดูยามเช้าแบบไม่คาดหวังครับ คิดว่าจะดูเอาขำๆ ระหว่างออกกำลัง ผลปรากฏว่าผมโอเคกับหนังไม่น้อยเหมือนกัน

พล็อตหลักเล่าง่ายครับ คือมันมีฉลามตัวหนึ่งว่ายมาอยู่ในแม่น้ำแซน ใจกลางกรุงปารีส และที่สำคัญคือมันดุครับ ดังนั้นโซเฟีย (Bérénice Bejo) นักวิทยาศาสตร์ที่ติดตามศึกษาฉลามตัวนี้ก็คิดว่าต้องปราบมัน เพราะอีกไม่กี่วันก็จะมีงานไตรกีฬา จะมีนักกีฬาว่ายน้ำกันเต็มแม่น้ำแซน ดังนั้นถ้าฉลามตัวนี้ยังอยู่ถึงวันนั้นล่ะก็ เลือดมีอันได้สาดกระจายทั่วแม่น้ำแน่

สิ่งแรกที่เข้าตาผมเลยคือสารพัดฉากใต้น้ำทั้งหลาย ตั้งแต่ซีนแรกที่ไปเกิดเรื่องกลางทะเล การถ่ายภาพใต้น้ำของเรื่องนี้จัดว่าสวยครับ ฉากนั้นนี่ได้อารมณ์เหมือนเราไปดำน้ำอยู่กลางทะเลจริงๆ แล้วจากนั้นก็จะมีฉากดำใต้แม่น้ำแซน และที่ผมชอบสุดต้องยกให้ตอนที่ตัวละครต้องไปดำน้ำกันใต้คาตาคอมส์ (สุสานใต้ดินของปารีส) คือทั้งหมดนี้จะเป็นฉากหรือของจริงก็ไม่รู้ล่ะครับ รู้แต่ทำออกมาได้สวย โดยเฉพาะตรงใต้คาตาคอมส์นี่มันดูขลังดี – ที่สำคัญคือในฉากใต้น้ำใต้คาตาคอมส์นี้ ซีนที่กล้องฉายให้เห็นฉลามที่อยู่ใต้นั้นเนี่ย เห็นแล้วเฮือก อารมณ์ตื่นเต้นนี่ไหลมาเลยครับ

ส่วนการเดินเรื่องก็จัดว่าเรื่อยๆ ครับ อาจไม่ได้เข้มข้นจัดๆ แต่ก็ถือว่าไม่น่าเบื่อ เพราะหนังก็เล่าแต่เนื้อๆ เล่าเรื่องสลับกับฉากผจญฉลาม มีฉากที่ตัวละครคุยกันบ้าง เล่าประวัติตัวเองบ้าง แต่ก็ถือว่ามีแบบพอดีๆ ไม่ทำให้หนังอืดยืด และความยาวก็ถือว่าพอได้ครับ ประมาณ 1 ชั่วโมงกับ 40 นาทีนิดๆ แต่อย่างหนึ่งที่ต้องบอกคือหนังไม่ได้เน้นแอ็คชั่นมันส์ๆ แบบใน Deep Blue Sea แล้วก็ไม่ได้มีฉากหวาดเสียวตื่นเต้นขนมาเป็นกระบุงแบบ The Shallows แต่โทนเรื่องมันจะประมาณ Jaws น่ะครับ คือมีฉลามดุเข้าเมืองมา มีตัวละครพยายามจะกอบกู้สถานการณ์ แล้วก็มีตัวละครที่ทำให้เสียเรื่อง หรือไม่ก็เพิกเฉยต่อเรื่องฉลามจนก่อให้เกิดความเสียหายตามมา

ถัดจากนี้อาจมีการเปิดเผยเนื้อเรื่อง ไม่อยากทราบก็ไม่ควรอ่านต่อนะครับ

Untitled07668

==============
===สปอยล์ครับ===
==============

อย่างหนึ่งที่ผมชอบในหนังคือหนังนำเสนอให้เราเห็นตัวละครหลากแบบในเรื่องครับ แล้วมันก็สะท้อนแง่คิดได้อย่างน่าสนใจ อย่างกลุ่มของโซเฟียนี่ก็พยายามกู้สถานการณ์ พร้อมทุ่มเทและเสียสละเพื่อป้องกันเหตุร้าย อันนี้ก็กลุ่มตัวเอก

แล้วก็มีกลุ่มวัยรุ่นที่ออกตัวว่ารักโลก รักธรรมชาติ พยายามจะปกป้องเจ้าฉลามตัวนี้ แต่แนวทางของตัวละครกลุ่มนี้ออกจะสุดโต่ง คือตั้งหน้าปกป้องฉลามแบบเต็มร้อย โดยไม่เอาประเด็นความปลอดภัยมาคำนึงด้วย คือก็เข้าใจน่ะครับ เห็นด้วยแหละว่าโลกและธรรมชาติควรได้รับการปกป้อง เห็นด้วยอีกเช่นกันว่าส่วนหนึ่งที่ฉลามตัวนี้มีความเปลี่ยนแปลงก็เนื่องมาจากผลที่มนุษย์กระทำต่อธรรมชาติ และพอเข้าใจว่าทำไมจะต้องปกป้องสัตว์โลกอย่างฉลามตัวนี้ แต่ประเด็นคือฉลามมันดุครับ มันก่ออันตรายได้ ทว่าตัวละครกลุ่มนี้ก็ยังเดินหน้าปกป้องฉลามอย่างสุดโต่ง แล้วในที่สุดมันก็ก่อให้เกิดความสูญเสียตามมาจนได้ – นึกถึงตอนเปิดเรื่องของ 28 Days Later… ขึ้นมาเชียว

แง่คิดที่ได้เรื่องนี้ก็คือ รักโลกพิทักษ์ธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งควรทำครับ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเอาข้อมูลมาประมวลให้รอบด้าน อีกทั้งต้องดูหน้างานด้วยว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น ต้องพิจารณาแล้วชั่งน้ำหนักให้ดีก่อนจะตัดสินใจทำอะไรลงไป – และอีกสิ่งที่ต้องระวังคือการตัดสินใจทำไปด้วยอารมณ์ หรือด้วยอัตตาตน – จุดนี้ขอชม Léa Léviant ที่แสดงเป็นมิก้าครับ ถือว่าถ่ายทอดอารมณ์และความคิดของตนออกมาได้ชัดดี

แล้วก็ยังมีกลุ่มนักการเมือง ไม่ว่าจะท่านนายกฯ นายอำเภอ หรือผู้ช่วยที่คิดถึงแต่เรื่องการจัดงาน ซึ่งก็ไม่เถียงครับว่างานนั้นใหญ่ ถ้ายกเลิกก็จะเกิดความเสียหาย แต่เรื่องฉลามมาอยู่ในแม่น้ำมันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กเหมือนกัน กลายเป็นว่าคนกลุ่มนี้ก็สุดโต่งไปในทางที่ว่า ทางเลือกมีแค่ “จะจัดงานต่อหรือยกเลิก” เท่านั้น

แต่ผมกลับมองว่ามันยังมีทางอื่นนะ เช่น พวกท่านจะจัดงานต่อใช่ไหมครับ อ้า ก็จัดไป แต่ทีนี้มีฉลามในแม่น้ำรอเขมือบคน จะทำไงดี? เอาเป็นว่าเรื่องการจัดงานพวกท่านก็คงไว้ก่อน ยังไม่ต้องรีบเลิก แต่ขณะเดียวกันพวกท่านก็จัดคนไปช่วยโซเฟียทำงานในการจัดการฉลามด้วยจะดีไหมครับ คือแทนที่จะให้พวกโซเฟียทำอย่างเดียวด้วยคนเพียงหยิบมือก็ส่งคนไปช่วยอีกสัก 20 – 30 คน เพิ่มโอกาสสำเร็จให้มันสูงขึ้น โอกาสในการล้มเลิกงานจะได้น้อยลง แบบนั้นเข้าท่ากว่าการไม่ทำอะไรเลยไหม?

แล้วก็เช่นกันครับ เมื่อถึงที่สุดแล้ว ตัวละครกลุ่มนี้ รวมถึงประชาชนอีกจำนวนมาก ก็ต้องมารับผลจากการตัดสินใจของคนกลุ่มนี้

ผมว่าหนังสะท้อนประเด็นพวกนี้ได้ดีครับ – การที่หนังพยายามบอกกับเราว่าธรรมชาติของโลกกำลังวิกฤติมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ, โลกนี้กำลังเปลี่ยนไป (ในทางที่ไม่ดีนัก) ด้วยน้ำมือของพวกเรานะ รวมถึงการสะท้อนให้เห็นว่า การทำอะไรแบบสุดโต่งไปทางใดทางหนึ่งจนเกินไป มันก็อาจจะก่อให้เกิดผลเสียได้นะ – มันอาจไม่ได้คมหรือลึกซึ้ง แต่ก็มีความหมาย น่าเก็บมาคิด และผมเชื่อว่ามันคือสิ่งที่หลายคนประสบพบเจอในแต่ละวันธรรมดาๆ ของเรานี่

บทสรุปของเรื่องจะว่าไปก็แอบคิดว่า “มันก็เป็นไปตามกรรมน่ะนะ” นี่แหละคือผลรวมของการกระทำต่างๆ ที่เราเห็นผ่านตัวละครทั้งหลาย แทนที่จะร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน ปันข้อมูลปันความคิดกัน แต่ต่างคนต่างทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามันถูก จนสุดท้ายเมืองก็เละอย่างที่เห็น

ได้แต่หวังว่ามนุษย์ทั้งหลายจะร่วมกันทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่ฉากสุดท้ายในหนังจะกลายมาเป็นภาพในชีวิตจริง

เวลาในการทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยโลกกำลังนับถอยหลังไปเรื่อยๆ ครับ – ไม่รู้ว่าตอนนี้ถึงจุดที่สายเกินไปแล้วหรือยัง?

====================
=====หมดสปอยล์จ้า=====
====================

Untitled07669

หนังกำกับโดย Xavier Gens ที่ตอนแรกผมก็ว่าชื่อแกคุ้นๆ พอไปค้นถึงจะจำได้ว่า อ๋อ พี่เขากำกับ Hitman นั่นเอง สำหรับเรื่องนี้โดยรวมผมว่าพอได้น่ะครับ ไม่ได้ล้ำเลิศยอดเยี่ยม แต่ก็ดูสนุก สิ่งหนึ่งที่ถือว่าดีก็คืองานภาพครับ ภาพสวยดี และอาจเพราะหนังถ่ายทำในปารีสด้วย พวกภาพยามค่ำคืนของปารีสนั้นสวยงามเสมอครับ หรือจะตอนกลางวันก็สวยไม่น้อยอีกเช่นกัน

ถ้าท่านชอบหนังสัตว์โลกน่ารัก ก็จัดไปได้ครับ ไม่คาดหวังมากก็น่าจะโออยู่ ดูเพลินๆ ได้หนึ่งมื้อ

สองดาวกว่าๆ ครับ

Star21

(6.5/10)