
หนังที่สร้างจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ครับ ว่าด้วยกรณีล้มบอลครั้งใหญ่ของสมาชิกทีมชิคาโก้ ไวท์ ซ็อกซ์ในปี 1919 โดยหนังก็จะเริ่มเล่าตั้งแต่การที่สมาชิกบางคนในทีมไม่ใคร่จะได้ประโยชน์จากการชนะของพวกเขาสักเท่าไร ประมาณว่าพอทีมเล่นชนะ คนที่จะได้ประโยชน์เป็นกอบเป็นกำก็คือเหล่าผู้บริหารน่ะครับ แต่สมาชิกแทบจะไม่ได้อะไรเลย กระทั่งคำสัญญาที่ผู้บริหารบอกไว้ว่าจะให้โบนัส ก็เหมือนจะกลายเป็นแค่สัญญาลมๆ เท่านั้น
จนในที่สุดก็มีคนมาชวนให้พวกเขาล้มบอล พร้อมเสนอเงินให้เป็นหลักหมื่น เลยทำให้หลายคนยอมทำครับ ครั้นพอเรื่องแดงขึ้นมาก็เลยกลายเป็นคดีความใหญ่โตระดับที่คนทั้งประเทศจับตา และสื่อก็พาขนานนามว่านี่คือเหตุการณ์เดอะ แบล็ค ซ็อกซ์ (The Black Sox)
แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้แม้จะเป็นแนวกีฬาแต่ก็แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ ครับ เพราะส่วนใหญ่หนังแนวนี้มักจะว่าด้วยเกียรติยศและการต่อสู้ของเหล่านักกีฬาที่สามารถฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ แต่กับเรื่องนี้มันคือการตีแผ่กรณีฉาวของวงการเบสบอล ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่หนัง Feel Good หรือหนังแนวสร้างแรงบันดาลใจครับ
แต่ถามว่าผมชอบไหม? ผมก็ว่าชอบอยู่นะ ผมชอบที่หนังทำให้เราเห็นภาพรวมของเหตุการณ์น่ะครับ คือเรื่องมันไม่ใช่ง่ายๆ แค่ว่าคนอยากจะโกงก็เลยโกงเพราะเป็นคนไม่ดี ครั้นพอโดนจับได้ก็จบ มันไม่ใช่แค่นั้น แต่เราจะได้เห็นถึงที่มาที่ไป รวมถึงแรงผลักดันที่ทำให้บางคนตัดสินใจที่จะโกง อย่างเอ็ดดี้ ซิคอทติ (David Strathairn) มือขว้างระดับอาชีพที่พยายามทุ่มเต็มที่เพื่อชัยชนะ แต่กลายเป็นว่าผู้บริหารไม่แคร์ไม่ตอบแทนผลประโยชน์ที่เขาพึงได้ จนในที่สุดพอมีคนมาเสนอเงินให้ เขาก็ยอมขายวิญญาณ – สิ่งที่เขาทำนั้นอาจไม่ใช่เรื่องถูกครับ แต่หนังก็แฟร์พอที่จะให้เราเห็นภาพว่ามันมีเหตุผลของมันนะ นี่ถ้าผู้บริหารดูแลสมาชิกในทีมดี เรื่องจะลงเอยแบบนี้ไหม? นั่นคือหนึ่งในคำถามสำคัญที่หนังเรื่องนี้ถามดังๆ ให้เราคิดตาม

หนังเรื่องนี้จึงออกแนวอุทาหรณ์ครับ ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพียงเพื่อจะขุดเรื่องฉาวมาบอกเล่าเท่านั้น แต่สร้างขึ้นเพื่อให้คนดูทั้งหลายได้นำเอาเหตุการณ์ไปพิจารณาไตร่ตรอง ซึ่งผมว่าเรื่องทำนองนี้นี่เกิดขึ้นได้ทุกวงการครับ และในเบื้องต้นหนังก็เตือนใจคนที่จะคดโกง ว่าให้คิดให้ดีๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลที่จะตามมาที่อาจจะส่งผลหลอกหลอนเราไปชั่วชีวิต
ขณะเดียวกันหนังก็ทำให้เหล่าผู้บริหารเห็นภาพด้วยว่า การบริหารทรัพยากรมนุษย์นั้นก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเรื่องอื่นๆ หากท่านไม่เป็นธรรมต่อพนักงานทั้งหลายแล้ว มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ส่งผลให้องค์กรของท่านสั่นคลอนก็ได้ – แต่หากท่านทำดีแล้ว ทุกอย่างเป็นธรรมแล้ว แต่คนยังหมายจะโกง ยังคิดแต่จะเอา นั่นก็เป็นอีกประเด็น
ถ้าถามว่าหนังเรื่องนี้สนุกไหม? ก็ตอบยากอยู่ครับ เพราะในแง่การเดินเรื่องแล้วหนังไม่ได้มาพร้อมความสนุกสนานหรือไม่ได้มีลูกเล่นอะไรมาก การเล่าเรื่องค่อนข้างจะเรื่อยๆ และตรงๆ – ผมมองว่าหนังไม่ได้เน้นตอบโจทย์บันเทิง แต่เน้นนำเสนอเรื่องราวในประวัติศาสตร์ให้ผู้ชมรุ่นหลังได้เรียนรู้เป็นหลัก ดังนั้นหากใครคาดหวังความบันเทิงแล้ว ก็คงต้องบอกว่าหนังไม่ได้มาในเชิงนั้นครับ
ดาราในเรื่องก็ถือว่ารวมดาวดาราหนุ่มในยุคนั้น ไม่ว่าจะ John Cusack, Don Harvey, Bill Irwin, Michael Rooker, Charlie Sheen, David Strathairn, D.B. Sweeney และคนที่ผมชอบกว่าใครก็คือ John Mahoney ในบทคิด กลีสัน คนคุมทีมที่เชื่อในตัวลูกทีมเสมอ ซึ่งก็แน่นอนว่าเขาถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทีเดียวเมื่อทราบว่ามีการเล่นไม่ซื่อในทีมแบบนี้ Mahoney เล่นได้ดีจริงครับ
สรุปว่าเป็นหนังบันทึกประวัติศาสตร์กีฬาที่เหมาะกับคอหนังแนวนี้ แต่ก็ย้ำอีกทีว่าหนังไม่ได้สร้างมาเพื่อความบันเทิงเป็นหลักครับ
สองดาวครึ่งครับ
![]()
(7/10)
หมวดหมู่:Drama, History, Movie Reviews, Recommended Movies, Sport










