
Slender Man ถือเป็นตำนานผียุคใหม่ที่ดังทีเดียวครับ เกิดกระแสจนมีทั้งหนังยาวและหนังสั้นสร้างตามกันออกมา และเรื่องนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในนั้นครับ
เรื่องเล่าง่ายๆ เลยก็คือมีวัยรุ่นสาว 4 คนเกิดอยากรู้อยากเห็นเรื่องตำนานสเลนเดอร์แมนที่กำลังดังในอินเตอร์เน็ตเลยลองเข้าเว็บไปค้นดูเรื่องเล่าและคลิปต่างๆ แล้วไม่กี่วันต่อมาหนึ่งในนั้นก็หายตัวไปอย่างลึกลับ อีก 3 สาวที่เหลือเลยต้องหาคำตอบว่าเพื่อนเธอหายไปไหน… หรือสเลนเดอร์แมนจะมาเอาตัวไป?
สเลนเดอร์แมนอาจเป็นของใหม่ในตอนนั้นครับ แต่ตัวหนังน่ะมาตามสูตรคุ้นเคยเลยครับ – คนกลุ่มหนึ่งไปพัวพันกับคำสาปปริศนาหรือปีศาจอะไรสักอย่าง แล้วก็โดนมันมาตามหลอกหลอนปั่นสติ ตามล่าเอาชีวิต คนที่เหลือก็ต้องหาทางรอดกันไป
ตัวหนังผมว่าธรรมดาครับ ไม่ได้เด่นอะไร หนังใช้เวลาค่อนข้างเยอะไปกับการสร้างบรรยากาศก่อนจะตุ้งแช่ คือพอจะนึกออกใช่ไหมครับว่าก่อนผีจะตุ้งแช่เนี่ย กระบวนการตั้งต้นมันมักจะเป็นว่ามีตัวละครสักคน อยู่คนเดียวในที่ไหนสักแห่ง แล้วกล้องก็จะแช่บ้างขยับบ้าง ถ่ายไปเรื่อยๆ สักพักหนึ่ง แล้วจากนั้นก็จะมีอะไรโผล่มาแฮ่ ซึ่งถ้าว่ากันตรงๆ ตอนผีแฮ่น่ะแค่ไม่กี่วิครับ แต่กระบวนการปูแฮ่เนี่ยมักจะยาว บางทีก็ล่อไปหลายนาทีก็มี
และหนังเรื่องนี้ก็ประมาณนั้นน่ะครับ ใช่้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการปูแฮ่ ซึ่งตอนต้นๆ ก็พอไหว แต่พอเล่นมุกนี้ตลอดเรื่องมันเลยออกแนวเบื่อครับ และมันพลอยทำให้รู้สึกว่าหนังไม่มีอะไรไปโดยปริยาย เพราะหนังจ้องจะปูแฮ่กันอย่างเดียว พล็อตไม่ใคร่จะเคลื่อนไหวไปไหนสักเท่าไร
แล้วหนังก็พยายามนะครับ ในการเอาเรื่องเล่าหรือตำนานหลายๆ อันมาใส่ลงไป เป้าหมายน่าจะเพื่อเพิ่มความขลังให้กับเรื่องราว แต่การบอกเล่าตำนานของหนังมันเหมือนแค่เอาข้อมูลขึ้นจออย่างเดียวน่ะครับ ไม่ได้มีการบิ้วหรือทำให้ตำนานทั้งหลายมันเชื่อมเป็นเนื้อเดียว – และจริงๆ ผมชอบนะที่หนังมีการโยงแนวคิดวิทยาศาสตร์เข้ากับเรื่องของสเลนเดอร์แมนด้วย แต่ก็อีกนั่นแหละครับ หนังยำทฤษฎียังไม่เข้าที่ เลยยังไม่ถึงขั้นทำให้คนดูเชื่อเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนั้น

อีกสิ่งหนึ่งที่รู้สึกคือหนังพยายามจะสร้างฉากบิดเบี้ยว เช่นภาพบิดเบี้ยว ภาพตัวละครเจออะไรแปลกๆ แต่มันเหมือนมันมาแค่ภาพน่ะครับ อารมณ์บิดเบี้ยวน่ะไม่เกิดตามมาด้วย ซึ่งจะต่างจากหนังอีกหลายเรื่อง (อย่างเช่นพวก Insidious) ที่บรรยากาศมันจะมาก่อน กลิ่นอายความบิดเบี้ยวมันจะคละคลุ้งเข้าฉาก ผ่านทางดนตรี ผ่านทางอารมณ์ตัวละคร ผ่านทางข้าวของหรือแสงในฉาก แล้วจากนั้นค่อยซ้ำคนดูด้วยการใส่ฉากบิดเบี้ยวเล่นกับงานภาพกันไป แบบนั้นมันจะครบวงจรครับ ในขณะที่เรื่องนี้เน้นภาพบิดเบี้ยว แต่อารมณ์ยังไม่ใช่ และบางทีภาพก็มืดเกินจนดูไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร พอมองไม่ออกความกลัวก็เลยพลอยไม่เกิดไปด้วย
แต่ถ้าถามว่าเพราะอะไรผมถึงดูจบ ตอบได้เลยครับว่าเหตุผลหลักคือน้อง Joey King ผมว่าน้องเขาแสดงแบบทุ่มมากนะ คืออารมณ์แววตาท่าทางนี่มาเต็มน่ะครับ ดูรู้เลยว่าน้องเขาใส่ฝีมือแบบเต็มจนบางทีเกินหน้าเกินตาตัวหนังด้วยซ้ำ ดังนั้นถ้าจะมีข้อดีในหนังเรื่องนี้ล่ะก็ ผมยกให้การแสดงของน้องเขาเลยครับ
หนังกำกับโดย Sylvain White ที่เคยทำ I’ll Always Know What You Did Last Summer ซึ่งไม่เวิร์กนัก แล้วก็ The Losers เรื่องนี้ดีขึ้นมาหน่อย แล้วส่วนใหญ่เขาก็จะกำกับซีรี่ส์ที่วีเป็นหลักครับ สำหรับเรื่องนี้ถือว่าหนังไม่เวิร์กนัก จริงๆ พล็อตไม่แย่นะครับ หรือบทสรุปก็ยังโอเค เพียงแต่ความหลอน ความสะพรึง ความตื่นเต้นน่ะไม่ค่อยเยอะ
แต่หนังโกยเงินครับ ลงทุน $10 ล้าน ได้คืนมา $51 ล้านจากทั่วโลก กำไรเหนาะๆ – แล้วแบบนี้ใครจะเลิกสร้างหนังผีทุนเล็กๆ ล่ะ จริงไหมครับ
ดาวกว่าครับ (นี่ให้น้อง Joey King เป็นหลักเลยนะเนี่ย)

(4.5/10)
หมวดหมู่:Horror, Movie Reviews, Mystery, Sci-Fi, Supernatural Horror, Thriller










