รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

The Madness of King George (1994) ราชาสภาโจ๊ก

Untitled07513

ตามประวัติศาสตร์แล้ว ในช่วงปลายพระชนม์ชีพของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักรนั้น มีการบันทึกว่าพระองค์ทรงเสียพระสติเป็นครั้งคราวซึ่งการแพทย์สมัยนั้นยังไม่สามารถอธิบายได้ แต่ในปัจจุบันเป็นที่เข้าใจกันว่าพระองค์ทรงเป็นโรคพอร์ฟิเรีย (Porphyria) ที่เกิดจากการได้รับสารพิษในปริมาณมากจนร่างกายและระบบประสาทเกิดปัญหา และหนังเรื่องนี้ก็จับเอาเหตุการณ์ช่วงนั้นมาบอกเล่าครับ

สรุปง่ายๆ เลยก็คือสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 (Nigel Hawthorne) ทรงพระประชวรและทรงเสียพระสติ ส่งผลให้การเมืองการปกครองของอังกฤษเกิดระส่ำระสาย และองค์รัชทายาท (Rupert Everett) ก็หมายจะตั้งต้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ซึ่งผมเชื่อว่าหลายท่านอาจคาดหมายว่าหนังจะมาในแนวหักเหลี่ยมเฉือนคมว่าด้วยการชิงบัลลังก์ แต่ความจริงแล้วหนังมาในโทนชวนหัวครับ ออกแนวขบขันเสียดสี นำเสนอภาพความวุ่นวายในราชวงศ์ ณ ช่วงเวลานั้นมากกว่า

ข้อดีของหนังผมยกให้งานสร้างและเครื่องแต่งกายต่างๆ ที่ถือว่ามีระดับสมเป็นหนังอังกฤษ และไม่แปลกใจเลยที่หนังจะได้ออสการ์สาขากำกับศิลป์ยอดเยี่ยมไปในปีนั้น บวกด้วยเหล่าดาราระดับคุณภาพไม่ว่าจะ Hawthorne, Everett, Helen Mirren, Rupert Graves, Amanda Donohoe, John Wood, Ian Holm และอีกหลายท่านที่ผมเชื่อว่าคอหนังอังกฤษคงจะคุ้นหน้า แต่ละรายแสดงได้น่าจดจำครับ โดยเฉพาะ Hawthorne และ Mirren ที่ต่างก็ได้ชิงออสการ์ แม้จะไม่ได้ไป แต่ก็พูดได้เต็มปากว่าหนังชวนติดตามมากขึ้นก็เพราะการแสดงถึงระดับของพวกเขานี่แหละ

หนังกำกับโดย Nicholas Hytner ที่ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าผมดูผลงานการกำกับหนังจอใหญ่ของเขาครบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะ The Crucible, The Object of My Affection, Center Stage, The History Boys และ The Lady in the Van ซึ่งแต่ละเรื่องก็มีดีมากดีน้อยต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่แล้วพูดได้เต็มปากว่าหนังของเขาดูได้ทุกเรื่อง และมีแก่นสารสาระทุกเรื่องเช่นกัน สำหรับ The Madness of King George คืองานกำกับชิ้นแรกของเขาครับ ก็ต้องยอมรับว่าเขาคุมหนังได้ดี เล่าหนังได้ตรงประเด็น เพียงแต่หนังอาจไม่ได้ตอบโจทย์สายบันเทิงอะไรมาก แต่จะไปเน้นสายคุณภาพมากกว่า

สรุปว่าถ้าท่านชอบหนังประวัติศาสตร์อังกฤษแนวชวนหัวที่มีดาราดีๆ และงานสร้างดีๆ ก็จัดเรื่องนี้ได้เลยครับ แต่ถ้าคาดหวังความเข้มข้นเชือดเฉือนหักเหลี่ยมแก้เกมล่ะก็ ขอให้ปรับความคาดหวังด่วนครับ เพราะหนังไม่ได้ไปในทางนั้น แต่จะออกแนวเสียดสีให้ขบขันมากกว่า

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)

Untitled07514