
ผมสนุกกับ Aeon Flux ตอนได้ดูรอบแรกครับ ครั้นพอมาดูซ้ำความชอบอาจไม่ได้มากขึ้น – ดีไม่ดีอาจจะลดลงด้วย – แต่มันทำให้ตระหนักชัดขึ้นน่ะครับว่าอะไรในหนังเรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกชอบในการดูรอบก่อนๆ
ตัวหนังมาในแนวว่าด้วยโลกอนาคตที่มีคนมีอำนาจควบคุมโลกอีกทีน่ะครับ อารมณ์ก็ออกแนวครองโดยเผด็จการหน่อยๆ แล้วก็จะมีกลุ่มคนที่พยายามต่อต้าน และอีออน ฟลักซ์ (Charlize Theron) ก็คือหนึ่งในนักสู้ที่คอยต่อต้านผู้มีอำนาจเหล่านั้น
แต่แล้วก็ตามสูตรครับ ถึงจุดหนึ่งอีออนก็เริ่มพบเงื่อนงำบางอย่างที่บอกว่าสิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น สิ่งที่รู้อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงไปเสียทั้งหมดก็ได้
ถ้าถามว่าผมชอบอะไรในหนัง ตอบได้เลยว่าผมชอบงานสร้างครับ งานโปรดักชั่น งานออกแบบ งานฉากนี่ทำได้ดีมาก ได้อารมณ์ไซไฟโลกอนาคตแบบสุดๆ จุดนี้ยกนิ้วให้ Andrew McAlpine (The Recruit และ An Education) และทีมงานฝ่ายศิลป์เลยครับ พวกเขาเนรมิตอะไรเหล่านี้ออกมาได้ดีมาก เตะตามาก จนผมว่าที่ผมเพลินกับหนังเนี่ย มันเพลินตรงงานฉากนี่แหละครับ คือลุ้นว่าฉากต่อไปหนังจะนำเสนอโทนแบบไหนมาอีก ผมว่าผมติดตามงานสร้างมากกว่าตัวหนังจริงๆ อีกนะเนี่ย
ส่วนตัวหนังก็ถือว่าเรื่อยๆ ครับ ดูได้เพลินๆ แต่ก็ไม่ได้มันส์อะไรมาก ฉากบู๊ก็ค่อนข้างธรรมดา และการแสดงของ Theron ก็แบกหนังไว้พอสมควรครับ หนังดูชวนติดตามก็เพราะได้เธอนี่แหละเป็นพลังหลัก ส่วนดารารายอื่นๆ ไม่ว่าจะ Sophie Okonedo, Marton Csokas, Jonny Lee Miller, Pete Postlethwaite และ Frances McDormand ก็ถือว่าเป็นส่วนเสริมที่โอเคครับ เพียงแต่บทไม่เปิดโอกาสให้ได้แสดงอะไรสักเท่าไร หรือฉากที่พวกเขาแสดงพลังไว้ถูกตัดออกไปก็ไม่รู้
ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าหนังเรื่องนี้ก็เจอปัญหาเดียวกับหนังอีกหลายเรื่องครับ นั่นคือฉบับที่ผู้กำกับทำมากับมือน่ะไม่ได้ออกฉาย แต่ถูกสตูดิโอสั่งตัดใหม่แล้วกลายเป็นอย่างที่เห็นแทน

เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ หลังจากผู้กำกับ Karyn Kusama ถ่ายทำและตัดต่อหนังเสร็จแล้ว เธอถูกสตูดิโอไล่ออกครับ แล้วก็เอาหนังไปตัดต่อเองเป็นเวอร์ชั่นความยาว 71 นาที ซึ่งพอฉายรอบทดลองแล้วปรากฏว่าคนดูไม่ชอบ สตูดิโอเลยตาม Kusama กลับมา แต่แทนที่จะยอมให้เธอได้ฉายในฉบับที่เธอตัดเอาไว้ สตูดิโอกลับสั่งให้เธอตัดใหม่อีกรอบตามสูตรที่หลายคนมักโดน คือตัดเอาฉากที่เป็นเนื้อหาออก ใส่แต่ฉากโชว์แอ็คชั่นและเทคนิคพิเศษเพื่อเน้นเสิร์ฟความตื่นตา และในฉบับดั้งเดิมนั้นจะมีตัวละครหนึ่งที่เป็น LGBTQ+ ครับ แต่กลายเป็นว่าโดนตัดออกหมดไม่เหลือ
ว่ากันว่าฉบับดั้งเดิมของ Kusama นั้นจะมีฉากบู๊แบบรุนแรงถึงเลือด รวมถึงฉากที่เผยเรือนร่างของ Theron จนหนังมีแววจะได้เรต R แต่สตูดิโอก็สั่งตัดใหม่ดังที่บอกไปครับ จนหนังได้เรต PG-13 แน่นอนว่าฉบับที่เราได้ดูนี่เป็นคนละวิสัยทัศน์กับที่ Kusama ต้องการเลยครับ
บอกตรงๆ ว่าอยากรู้จริงๆ ว่าฉบับดั้งเดิมที่ Kusama เล่าไว้นั้นจะเป็นอย่างไรหนอ?
เอาเป็นว่าถ้าว่าถึงตัวหนังฉบับนี้ ก็ถือว่าดูได้ครับ อย่างที่บอกว่าของดีคืองานโปรดักชั่นที่ได้อารมณ์ไซไฟผสมแฟนตาซีแบบกำลังดี เป็นอาหารตาชั้นเลิศสำหรับผมเลยครับ ในขณะที่เนื้อเรื่องก็เดิมๆ ดูแล้วนึกถึง Equilibrium ขึ้นมาเลย (รวมทั้งนึกถึง Ultraviolet ผลงานต่อมาของผู้กำกับ Kurt Wimmer ที่ชะตากรรมในการสร้างก็ไม่ต่างจาก Aeon Flux)
ตัวหนังไม่ประสบความสำเร็จครับ ลงทุนราว $62 ล้าน แต่ได้คืนมาในอเมริกาแค่ $25 ล้าน หรือถ้ารวมทั่วโลกก็ $53 ล้าน ติดตัวแดงครับ
สองดาวครับ

(6/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, Movie Reviews, Sci-Fi, Thriller










