
Return of the Seven ภาคต่อที่ตามรอยความสำเร็จของภาคแรกครับ หนนี้คริส (Yul Brynner) และ วิน (Robert Fuller) กลับมายังเมืองเล็กๆ ที่พวกเขาเคยปกป้องอีกครั้งหลังจากทราบว่าชิโก้ (Julián Mateos) กับชาวเมืองอีกส่วนหนึ่งถูกจับตัวไป ทำให้คริสต้องเกณฑ์ยอดฝีมือบนหลังม้าอีกครั้งเพื่อไปช่วยชาวเมืองกลับมา
คราวนี้ยอดฝีมือชุดใหม่ที่มาแจมพวกเขาก็ได้แก่ แฟรงค์ (Claude Akins) เพื่อนเก่าของคริส, หลุยส์ เอมิลิโอ เดลกาโด (Virgilio Teixeira) อดีตโจรตัวฉกาจ, โคลบี้ (Warren Oates) เสือผู้หญิงตัวยง และมานูแอล (Jordan Christopher) หนุ่มหน้ามนที่สู้ไม่ถอย
แน่นอนว่าภาคแรกสนุกกว่ามากครับ แม้หนังจะยาว 2 ชั่วโมงแต่ก็น่าติดตามตลอด จุดเด่นอย่างหนึ่งของภาคแรกคือแต่ละฉากมันจะมีอะไรมาดึงดูดความสนใจเราได้ตลอด ไม่ว่าจะการแนะนำตัวละคร การพาเราไปรู้จักกับมิติของสิงห์แต่ละตนที่มาพร้อมเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือไม่ก็พาเราไปสัมผัสกับวิธีคิดของชาวบ้านที่ใจจริงก็อยากจะสู้เป็นกับเขาเหมือนกัน แต่ก็ด้วยหลายเหตุผลเลยทำให้ตนไม่สามารถระห่ำแบบเอาชีวิตไปเสี่ยงได้โดยง่าย อย่างภาระครอบครัวนี่ก็อย่างหนึ่งล่ะครับ หากเขาตายไปสักคนมันจะส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อคนที่อยู่ข้างหลัง หรือด้านฝีมือในเชิงสู้รบก็ไม่มีเวลาจะฝึกกับเขา เพราะเอาแค่ทำงานทำไร่วันๆ หนึ่งเวลาก็หมดแล้ว – เรียกว่าภาคแรกหนังมีอะไรให้คนดูมากกว่าแค่หนังคาวบอยยิงกันธรรมดาๆ
ส่วนภาคนี้ตอนต้นๆ หนังดูจะใช้เวลาไปกับฉากโชว์เป็นหลัก ไม่ว่าจะฉากคนสู้วัวกระทิง, ฉากหญิงสาวเต้นฟลาเมงโก้ หรือฉากในบ่อนไก่ชน หนังใช้เวลากับอะไรเหล่านี้ไปไม่น้อยครับ ซึ่งก็ออกจะเสียดายเหมือนกัน เพราะจริงๆ ควรจะเอาเวลามาแนะนำเหล่าผู้กล้าชุดใหม่ หรือไม่ก็นำเสนอแง่มุมความเท่ห์ของพวกเขามากกว่า แต่นี่กลายเป็นว่าตัวละครสิงห์ชุดใหม่ได้รับการแนะนำในระดับหนึ่งเท่านั้น เลยทำให้ความรู้สึกผูกพันยังไม่ทันมี หรือจะให้สารภาพตามตรงเลยก็คือ บางตัวละครนี่ผมยังจำหน้าได้ไม่แม่นเลยครับ ดังนั้นเลยทำให้ตอนท้ายพอมีการเสียสละเกิดขึ้น มันเลยไม่ทำให้รู้สึกสะเทือนได้เท่าภาคแรก
โดยรวมหนังเลยอยู่ในระดับพอดูได้น่ะครับ อย่างน้อย Brynner ก็ยังดูสง่าน่าเกรงขาม แล้วก็มีฉากแอ็คชั่นยิงกันเสิร์ฟอยู่เป็นพักๆ แต่มันก็ทำให้ตระหนักเลยนะครับว่าความผูกพันที่คนดูอย่างเราๆ มีต่อตัวละครนั้นมันสำคัญจริงๆ พอผูกพันไม่เยอะมันเลยอินไม่เยอะตามไปด้วย

Brynner เป็นดาราคนเดียวที่กลับมารับบทเดิมครับ นอกนั้นเปลี่ยนคนแสดงหมด เริ่มจากบทวินที่ Fuller มาแสดงแทน Steve McQueen อันนี้พูดแบบตรงๆ เลยคือบารมีและความเท่ห์มันต่างกันมากครับ ซึ่งว่ากันว่าจริงๆ แล้ว Brynner เองก็ไม่อยากให้ McQueen มาแสดงสักเท่าไร เพราะตอนเล่นภาคแรกนั้น Brynner รู้สึกว่าโดน McQueen ขโมยซีนไปหลายฉาก ไหนจะมีเรื่องไม่ถูกกันอีก แต่กระนั้นตอนแรก McQueen ก็ทำท่าว่าสนใจจะกลับมาเหมือนกันครับ แต่พอ McQueen อ่านบทแล้วก็เป็นฝ่ายบอกปัดไม่กลับมาแสดง เพราะเขารู้สึกว่าบทภาคนี้มันไม่ดีสักเท่าไร ก่อนจะหันไปรับเล่นหนังเรื่อง The Sand Pebbles แทน และนั่นก็กลายเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องครับ เพราะบทจากเรื่องนั้นทำให้ McQueen ได้ชิงออสการ์ในสาขาดารานำชายยอดเยี่ยม
แต่สำหรับความรู้สึกคนดูอย่างผมแล้ว ก็รู้สึกเสียดายน่ะครับ จริงๆ Brynner ก็พูดถูกนั่นแหละว่า McQueen ขโมยซีนจริงๆ แต่นั่นก็ทำให้หนังสนุกขึ้น พอภาคนี้ไม่มี McQueen ความสนุกเลยลดลงไป แล้วต้องยอมรับว่าคาแรคเตอร์ของวินที่แสดงโดย Fuller นั้น มันดูอ่อนลงเหมือนไปคนละคนกับวินในภาคแรกน่ะครับ
นอกจากนี้ชิโก้ก็เปลี่ยนคนแสดงเป็น Julián Mateos เช่นเดียวกับเพตราที่ได้ Elisa Montés มาแสดง ในแง่ความเด่นก็ไม่มากครับ ส่วนบทร้ายประจำตอนก็ได้ Emilio Fernández มารับบท ฟรานซิสโก้ ลอร์ก้า ซึ่งจะว่าไปบทนี้ก็เพิ่มความน่าสนใจให้หนังได้ไม่เลว เพราะนายคนนี้ไม่ได้มาร้ายอย่างเดียว แต่การกระทำของเขาก็มีเหตุผลเบื้องลึกในแบบของตนเอง จนไปๆ มาๆ บทนี้ดูจะมีอะไรน่าสนใจมากกว่าเหล่าสิงห์คนอื่นๆ เสียอีก
บทหนังเขียนโดย Larry Cohen ครับ เจ้าของงานอย่างหนังไตรภาคสยองขวัญทารกพันธุ์โหด It’s Alive หรือถ้าจะเอาเรื่องที่คนยุคใหม่คุ้นหน่อยก็คือ Phone Booth และ Cellular ส่วนผู้กำกับก็คือ Burt Kennedy ซึ่งหนังก็ถือว่าออกมาในระดับกลางๆ น่ะครับ ไม่ได้น่าติดตามอะไรมาก แต่ก็พอดูได้เรื่อยๆ เพราะอย่างน้อยบารมีของ Brynner ก็ยังคุมหนังได้ประมาณหนึ่ง
ส่วนในแง่ของแอ็คชั่นแม้หนังจะมีฉากยิงกันเยอะขึ้น แต่ความลุ้นความเร้าใจไม่มากเท่าภาคแรกครับ
แต่หนังก็ยังถือว่าทำเงินพอตัวตอนออกฉายครับ แน่นอนว่าตลาดที่ทำเงินให้กับหนังได้อย่างมากก็คือตลาดนอกอเมริกานั่นเอง
ก็ถือเป็นภาคต่อที่สู้ภาคแรกไม่ได้ครับ แต่ถ้าไม่คิดมากจะดูต่อก็ถือว่าพอได้ เพียงแต่อย่าคาดหวังเยอะครับ
สองดาวครับ

(6/10)
หมวดหมู่:Action, Drama, Movie Reviews, Western










