
Guns of the Magnificent Seven ตอนที่ 3 ของหนังชุดนี้ครับ ที่ยังมีการทำออกมาเพราะทำแล้วได้เงินได้ทอง
ภาคนี้พล็อตเรื่องก็ยังคล้ายของเดิมครับ มีเปลี่ยนรายละเอียดนิดหน่อยคือ คริส อดัมส์ (George Kennedy) ยังคงเป็นตัวเอกที่นำพาเหล่ายอดฝีมืออีก 6 คนมารวมตัวกันเพื่อช่วยนักปฏิวัติแห่งเม็กซิโกนามว่าควินเทโร่ (Fernando Rey) ที่โดนทางการจับตัวไป
สำหรับอีก 6 สิงห์ที่มาร่วมขบวนหนนี้ก็ประกอบด้วย คีโน่ (Monte Markham) คนนอกกฎหมาย ซี้คนใหม่ของคริส, เลไว (James Whitmore) มือมีดชั้นเซียน, แคสซี่ (Bernie Casey) นายบึ้กจอมพลัง, แมตต์ สเลเตอร์ (Joe Don Baker) ยอดนักแม่นปืนมือพิการ, พี.เจ. (Scott Thomas) คาวบอยชุดดำมาดขรึม และ แม็กซิมิลิอาโน (Reni Santoni) หนุ่มเม็กซิโกที่ออกไปตามหาคนมาช่วยควินเทโร่ ก่อนจะมาร่วมทีมกับคริสในเวลาต่อมา
คราวนี้ Yul Brynner บอกศาลาไม่กลับมารับบทคริสครับ บทเลยตกเป็นของ George Kennedy ที่ตอนนั้นชื่อกำลังร้อนหลังได้รับรางวัลออสการ์สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยมจากหนังเรื่อง Cool Hand Luke ซึ่งแน่นอนว่าคริสของ Kennedy นั้นเป็นคนละสไตล์กับ Brynner เลยครับ มาดของคริสคนใหม่นี้ดูอารมณ์ดี ยิ้มง่าย ไม่เคร่งขรึมอะไรมาก ซึ่งถ้าให้ว่าตรงๆ แล้ว คริสคนนี้ดูขลังน้อยลงครับ ดูไม่เด่นเหมือน 2 ภาคแรก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Kennedy ไม่ได้แสดงแย่นะครับ เขาก็เล่นไปตามบทได้โอเค เพียงแต่พอมีคริสเวอร์ชั่น Brynner มาก่อนเลยอดไม่ได้น่ะครับที่จะเปรียบเทียบ แต่หากไม่เปรียบเทียบแล้ว คริสคนนี้ก็ถือว่าโอเค ตามสูตรหนังคาวบอยตะวันตกของมะกัน
และว่าตามจริงภาคนี้ดูจะกลมกล่อมกว่าภาค 2 หน่อยครับ อย่างน้อยหนังก็กลับมาโฟกัสที่เหล่าสิงห์ทั้ง 7 มากกว่าจะเน้นโชว์ฉากแบบภาค 2 ทำให้ผมออกจะชอบภาคนี้มากกว่าภาค 2 หน่อยๆ ครับ เพราะภาคนี้เราจะได้รู้จักกับเหล่าสิงห์คนอื่นๆ มากขึ้น อันส่งผลให้รู้สึกผูกพันและนำไปสู่ความสะเทือนใจในตอนท้ายเมื่อสิงห์บางตนถูกปลิดปลงชีวิตลง – และยอมรับครับว่าภาคนี้ทีมดาราแกร่งขึ้นกว่าภาค 2 อีกอย่างที่เตะตา (หรือเตะหู) พอสมควรคือบทสนทนาครับ มีคำพูดคำคมอยู่หลายชุดทีเดียว

นอกจากประเด็นหลักว่าด้วยการรวมตัวกันไปช่วยคนของ 7 สิงห์แล้ว หนังก็ยังมีตัวละครรองอย่าง โลเบโร่ (Frank Silvera) ที่ดูเหมือนจะถูกเขียนขึ้นเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงคนแบบที่ชอบฉวยโอกาสตั้งตนเป็นใหญ่ในยามบ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย แล้วปากก็ชอบพร่ำบอกว่าทำเพื่อปวงชน แต่แท้จริงแล้วก็ใช้อำนาจที่มีมาปรนเปรอความสุขให้ตนเอง
ครับ หนังถือว่าโอเคในเรื่องการแจกแจงตัวละคร ส่วนในแง่ของแอ็คชั่นแล้ว มีฉากบู๊แบบจริงๆ จังๆ ก็คือตอนไคลแม็กซ์นั่นแหละครับ เรียกว่ามีฉากบู๊น้อย แต่พอถึงคราวบู๊ก็ถือว่าบู๊ได้โอเค มีฉากระเบิดระเบ้อดูยิ่งใหญ่อยู่เหมือนกัน และสิ่งหนึ่งที่รู้สึกเลยก็คือ หนังดูจะให้ความสำคัญกับวาระที่ “เหล่าสิงห์โดนปลิดชีพ” มากขึ้นครับ ซึ่งก็ส่งผลให้ความเสียสละของเหล่าสิงห์ในภาคนี้ดูติดตามากขึ้น
โดยรวมหนังถือว่าโอเคกว่าภาค 2 หน่อยนึงครับ แต่ก็ไม่ได้สนุกเป็นล้นพ้นอะไรขนาดนั้น จัดว่าดูได้เรื่อยๆ แต่ไม่ได้เด็ดถึงขั้นต้องดู
ในแง่ของรายได้หนังก็ยังทำเงินครับ โดยเฉพาะตลาดนอกอเมริกานี่ถือว่าได้รับการตอบรับดีอยู่ แต่เผอิญว่าช่วงนั้นหนังฉายใกล้ๆ กับ The Wild Bunch ของผู้กำกับ Sam Peckinpah ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องหลังได้รับคำชื่นชมมากกว่าหลายกระบุง จนมีคนออกมาวิเคราะห์ว่า ถ้าช่วงนั้นไม่มี The Wild Bunch ฉายพอดีล่ะก็ Guns of the Magnificent Seven อาจทำเงินมากกว่าที่เป็นก็ได้
สรุปว่าตามนั้นครับ ดูได้ แต่ไม่ถึงกับต้องดูครับ
สองดาวครับ

(6/10)
หมวดหมู่:Action, Drama, Movie Reviews, Western










