Comedy

Moonlight and Valentino (1995) หัวใจผู้หญิง…จะประคองให้กัน

Untitled07000

Moonlight and Valentino หนังรวมดาราหญิงอีกเรื่องในยุค 90 ครับ ว่ากันแบบตรงๆ เลยคือดูแล้วก็พอได้ ดูได้เรื่อยๆ แต่อาจจะยังไม่ถึงกับยอดเยี่ยมอะไรมากมาย

หนังเล่าถึงสายใยระหว่าง 4 สาว อันประกอบด้วย รีเบคก้า (Elizabeth Perkins) ที่ตื่นมาในเช้าวันหนึ่งแล้วก็พบกับความสูญเสียแบบไม่ทันตั้งตัว, ซิลวี่ (Whoopi Goldberg) เพื่อนซี้ของรีเบคก้าที่กำลังมีปัญหาง่อนแง่นกับสามี (Peter Coyote), ลูซี่ (Gwyneth Paltrow) น้องสาวของรีเบคก้าที่กำลังตามหาตัวตนและยังคงสับสนกับทางเดินชีวิตตนเอง และ อัลเบอร์ต้า (Kathleen Turner) แม่เลี้ยงของรีเบคก้าและลูซี่ที่พยายามจะทำหน้าที่แม่ให้ดีที่สุด แต่เธอก็ตระหนักว่าตนนั้นคงไม่อาจแทนที่แม่แท้ๆ ของ 2 สาวได้

ก็ถือเป็นสูตรหนึ่งของหนังดราม่าที่เห็นค่อนข้างบ่อยในหนังยุค 80 – 90 น่ะครับ (ประมาณว่าตามแห่เรื่อง The Big Chill มานั่นเอง) หนังแนวนี้เปิดมามันจะมีเหตุอะไรสักอย่างทำให้เหล่าตัวละครมารวมตัวกัน แล้วเราก็จะได้เห็นความสัมพันธ์ของพวกเขาที่บางคนก็ซี้กันและคอยให้กำลังใจกัน ในขณะที่บางคนก็อาจจะไม่ถูกกัน แล้วก็จะมีฝ่ายหนึ่งพยายามสานสายใยให้อีกฝ่ายเปิดใจยอมรับตน หรือไม่ก็จะมีรูปแบบความสัมพันธ์แบบอื่นๆ เกิดขึ้นท่ามกลางเรื่องราวครับ

ผมชอบหนังแนวนี้นะ มันทำให้เราได้เห็นมิติอันหลากหลายของมนุษย์น่ะครับ เพราะคนเราน่ะมีหลายแบบหลากสไตล์ การดูหนังแนวนี้มันเหมือนเป็นการรวมคนหลายๆ แบบมาให้คนดูอย่างเราได้ทำความรู้จัก ทำความเข้าใจ ซึ่งบางทีมันก็มีส่วนช่วยในการเตรียมตัวคนดูอย่างเราๆ ให้รู้จักลักษณะนิสัยของคนแบบที่เราไม่เคยเจอมาก่อน รวมถึงได้แง่คิดเกี่ยวกับชีวิตติดปลายนวมกลับมา บางอันก็เป็นมุมที่เราคิดไม่ถึง ทำให้หนังแนวนี้มักจะให้กำไรคิดกับเราอยู่บ่อยๆ จะมากหรือน้อยก็ว่ากันไป

สำหรับเรื่องนี้ก็อย่างที่บอกครับว่าพอดูได้แบบเรื่อยๆ ถ้าให้ว่ากันแบบตรงๆ คือตัวบทยังไม่แน่นมากนัก สิ่งหนึ่งเลยที่รู้สึกระหว่างดูคือพลังดาราช่วยแบกหนังไว้เยอะครับ ในแต่ละฉากน่ะมันสัมผัสได้เลยว่าดาราเขาตั้งใจเล่น ตั้งใจสื่อความรู้สึกและรับส่งอารมณ์กัน แต่สิ่งที่มันพร่องๆ คือบทสนทนาครับ

ตามปกติหนังแนวนี้จะสนุกหรือไม่ วัดกันได้ที่บทสนทนาครับ หากเรื่องไหนตัวละครคุยกันแล้วทำให้เราสนใจในสิ่งที่พวกเขาพูด หรือไม่ก็มาพร้อมแง่คิดดีๆ ที่ชวนให้ย้อนดูตัว หนังก็จะสนุกและน่าติดตามโดยอัตโนมัติ แต่กับเรื่องนี้บทสนทนาค่อนข้างธรรมดาน่ะครับ ไม่ได้ดึงดูด ไม่ได้ลึกซึ้ง บางฉากก็ให้ความรู้สึกโล่งๆ โถงๆ เหมือนจับอะไรไม่ติดสักเท่าไร

Untitled07001

บทหนังนั้นดัดแปลงจากบทละครของ Ellen Simon ลูกสาวของ Neil Simon ผู้โด่งดังระดับตำนาน คนพ่อนั้นสร้างบทละครเจ๋งๆ เอาไว้เยอะครับ สำหรับบทหนังเรื่องนี้ Ellen Simon ก็เป็นคนดัดแปลงเองครับ และผลที่ได้ก็อย่างที่บอกไป จริงๆ ตัวสถานการณ์และเรื่องราว รวมถึงทิศทางน่ะมีความน่าสนใจครับ เพียงแต่บทสนทนาระหว่างทางมันค่อนข้างธรรมดา นี่ถ้าไม่ได้ฝีมือของเหล่าดารามาประคองไว้ หนังอาจจืดกว่านี้ก็เป็นได้

แต่อย่างน้อยหนังก็มีแก่นสารสาระที่ดีครับ ไม่ว่าจะเรื่องพลังของมิตรภาพที่หากใครมีเพื่อนดีๆ แล้วก็ขอให้รักษาไว้เถอะครับ ถนอมน้ำใจและความรู้สึกกันไว้ให้ดีๆ เพราะเพื่อนดีๆ น่ะหาได้ยากยิ่ง

เพื่อนที่ดีนั้นมักจะอยู่เพื่อเราได้เสมอ ยามใดที่รู้ว่าเรามีปัญหา มีเรื่องไม่สบายใจ เพื่อนย่อมจะคิดห่วงใยและหาทางติดต่อเราให้เร็วที่สุด เพื่อช่วยประคอง เพื่อช่วยปลอบประโลม หรือเพื่อช่วยอะไรก็ตามเท่าที่จะช่วยได้ เพื่อให้เรานั้นผ่านช่วงเวลาอันยากลำบาก – แม้บางโอกาสจะไม่เจอแบบตัวเป็นๆ ก็จะต้องโทรมา ส่งข้อความมา ทำอะไรสักอย่างเพื่อบอกเราว่า “เธอไม่ได้อยู่เพียงลำพังนะ”

ถ้าถามว่าผมชอบฉากไหนไหม ก็ต้องต้องยกให้ฉากสุดท้ายน่ะครับ อันเป็นฉากไคลแม็กซ์ที่สรุปทุกอย่าง ผมมองว่าฉากนี้ลงตัวสุด สรุปอะไรๆ ได้ดี เป็นฉากกลมกล่อมที่สุดแล้วล่ะครับ และถือว่าเป็นฉากที่ทำให้องค์รวมของหนังดูดีขึ้นอีกนิดด้วย

4 ดารานำในเรื่องคือพลังสำคัญอย่างแท้จริงครับที่ทำให้หนังดูได้เรื่อยๆ ไปจนจบ นอกจาก 4 ดารานำหญิงแล้ว ฝ่ายดาราชายในเรื่องก็จะออกแนวสมทบที่มีบทบาทไม่เยอะ ไม่ว่าจะ Josef Sommer ในบทพ่อของรีเมคก้าและลูซี่, Jon Bon Jovi มาเป็นช่างทาสีสุดหล่อที่มารับงานทาสีบ้านให้รีเบคก้า และ Jeremy Sisto มาเป็นนักศึกษาผู้รักกวี ลูกศิษย์ของรีเบคก้า

สำหรับ Ellen Simon นั้น ถัดจากเรื่องนี้เธอก็มีลงานเขียนบทอีกเรื่องคือ One Fine Day ครับ (เขียนร่วมกับ Terrel Seltzer) และนั่นคืองานเขียนบทสุดท้ายของเธอนับจนถึงตอนนี้ (2024) ครับ – และผมพูดได้แบบเต็มปากเต็มคำว่าผมชอบ One Fine Day มากอยู่ครับ

หนังกำกับโดย David Anspaugh ซึ่งนี่ก็เป็นผลงานของเขาเรื่องแรกที่ผมได้ดูครับ เลยไม่สามารถเปรียบเทียบกับงานชิ้นอื่นๆ ได้ แต่ได้ข่าวมาว่าเรื่อง Hoosiers และ Rudy ที่เขากำกับนั้นเป็นหนังแนวสร้างแรงบันดาลใจที่น่าจดจำ ไว้สักวันจะหามาดูให้ได้ครับ

สรุปว่าหนังดูได้ครับสำหรับคอหนังแนวดราม่ารวมดาราว่าด้วยช่วงหนึ่งของชีวิตคน ที่มีธีมหลักว่าด้วยการก้าวข้ามความสูญเสียและกลับมาตั้งหลักให้กับชีวิตอีกครั้ง เพียงแต่อย่าคาดหวังอะไรมากครับ

สองดาวให้เหล่าดาราครับ

Star21

(6/10)