รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Under the Tuscan Sun (2003) ทัซคานี่…อาบรักแดนสวรรค์

Untitled06996

เคยดู Under the Tuscan Sun มาแล้วรอบหนึ่ง ก็รู้สึกว่าหนังเพลินดีครับ ครั้นมาดูอีกรอบ ผมว่าผมชอบมากขึ้นนะ

ฟรานเชส (Diane Lane) นักเขียนสาวที่ต้องเจอกับทางแยกของชีวิตแบบไม่คาดฝัน นั่นคือการที่สามีต้องการหย่ากับเธอครับ เธอเลยเสียศูนย์ไปพักใหญ่ จนกระทั่งเพื่อนซี้อย่าง แพตตี้ (Sandra Oh) มอบตั๋วเครื่องบินให้เธอไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจที่ทัสคานี่ และที่นั่นเธอได้พบบ้านหลังหนึ่งที่ถูกใจเธออย่างประหลาด จนในที่สุดเธอก็ตัดสินใจซื้อบ้านหลังนั้นนั่นแหละ กะจะมาเริ่มชีวิตใหม่ที่นี่ – แล้วการเดินทางครั้งใหม่ของเธอก็เริ่มขึ้นตรงนั้นล่ะครับ

สิ่งแรกที่ต้องบอกก่อนสำหรับคนที่พออ่านเรื่องย่อและอ่านแนวของหนังแล้ว ก็คิดว่าหนังน่าจะมาพร้อมภาพสวยๆ ที่ฉายให้เห็นถึงวิวทิวทัศน์แทบทัสคานี่แบบเต็มอิ่มเต็มตา อันนี้ก็ต้องบอกก่อนครับว่าหนังสมัยโน้น (ต้นยุค 2000) หากว่ากันถึงภาพสวยๆ แล้วมันจะไม่จัดหนักเท่าหนังสมัยนี้ครับ คือภาพบรรยากาศดีๆ หรือวิวดีๆ มันก็มีบ้าง แต่หนังไม่ได้เน้นเก็บภาพวิวแบบ Fullscreen เท่าหนังสมัยใหม่ ดังนั้นถ้าใครคาดหวังจุดนี้ก็อาจต้องปรับความคาดหวังสักหน่อยนะครับ

ตัวหนังจัดว่าเพลินอยู่ครับ พลังสำคัญอันดับแรกที่หนังมีก็คือการแสดงลื่นๆ ของ Lane ที่หายห่วงครับสำหรับเธอคนนี้ ไม่ว่าการจะแสดงออกของอารมณ์ทั้งท่าทางและแววตาเธอก็ทำได้ดีเสมอ และพลังต่อมาก็คือเรื่องราวที่ถือว่าดูเพลิน ชวนติดตามในระดับหนึ่ง คือดูแล้วมันอยากรู้น่ะครับว่าชีวิตของฟรานเชสจะเดินไปทางไหนต่อ และเธอจะต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง ซึ่งก็ต้องว่าตามจริงว่าหนังอาจไม่ได้เข้มข้นแบบจัดๆ และไม่ได้เดินเรื่องแบบกลมกล่อมกลมกลืนไปเสียทั้งหมด แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่โอเคแล้วสำหรับหนังโรแมนติกดราม่าสไตล์นี้

นอกจากนี้ก็ยังมีดาราสมทบที่เสริมความสนุกให้กับหนังได้ในระดับที่น่าพอใจ ไม่ว่าจะ Oh ในบทเพื่อนซี้ของฟรานเชส ที่มีบทบาทหน่อยนึงในตอนต้นๆ และจะมามีบทอีกทีตอนหลังๆ และ Raoul Bova ในบทมาเซลโล หนุ่มที่ปรากฏตัวเข้ามาในชีวิตของฟรานเชส โดยส่วนตัวผมชอบการมาของตัวละครนี้ครับ เพราะการมาของเขามีส่วนทำให้เราเข้าถึงจิตใจและความรู้สึกของฟรานเชสได้มากขึ้น แล้วสิ่งที่เขาทำก็มีผลต่อชีวิตของเธอไม่น้อย

Untitled06997

Lindsay Duncan รายนี้ก็ขโมยซีนเป็นพักๆ ครับกับบทแคทเธอรีน สาวสวยผู้ไร้กรอบในชีวิต และยังคอยแนะนำแนะแนวบางสิ่งให้กับฟรานเชส ซึ่งบางอันก็เป็นคำแนะนำที่ดี ในขณะที่บางคำแนะนำก็อาจต้องใช้วิจารณญาณใคร่ครวญประกอบอยู่เหมือนกัน และ Vincent Riotta ในบทมาร์ตินี่ ซึ่งผมชอบตัวละครนี้นะ สำหรับผมแล้วเขาถือเป็นคำนิยามที่ดีของคำว่าสุภาพบุรุษน่ะครับ ใครดูแล้วคงพอเข้าใจว่าทำไมผมถึงนิยามเขาแบบนั้น

ของดีอีกอย่างคือดนตรีชิลด์ๆ ของ Christophe Beck ซึ่งถือว่าเสริมอารมณ์หนังได้เรื่อยๆ ระหว่างทาง แล้วก็จะมาฟังไพเราะแบบชัดๆ อีกทีตอนมาฟังใน End Credits น่ะครับ บอกได้เลยว่าของเขาดีจริง – แต่ก็แอบแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมตอนในหนังสกอร์กลับไม่ยักกะเด่นเท่าใน End Credits แฮะ

หนังกำกับโดย Audrey Wells ครับ ซึ่งผมจำชื่อเธอได้จากงานเขียนบทหนังดีๆ อย่าง The Truth About Cats and Dogs และ Disney’s The Kid ส่วนเรื่องนี้เธอก็เป็นคนดัดแปลงเรื่องราวจากนิยายมาสู่ภาพยนตร์ครับ ซึ่งลีลาการกำกับของเธอก็สมกับที่เธอโตมาจากสายเขียนบทครับ เธอจะเน้นการนำเสนอคาแรคเตอร์ อารมณ์ และความคิดของตัวละคร รวมถึงเนื้อเรื่องต่างๆ ที่จะมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าว่ากันถึงความกลมกล่อมแล้วก็อาจยังไม่เต็มร้อยครับ อาจเพราะมันมีรายละเอียดเยอะนี่แหละ เลยทำให้ทิศทางของเรื่องดูกระจัดกระจาย ยังไม่กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวในบางจังหวะ – ว่าง่ายๆ คือมีทั้งจุดที่ดีและยังดีได้อีกนั่นเองครับ

นี่คืองานกำกับชิ้นที่ 2 ของเธอครับ และก็เป็นงานกำกับชิ้นสุดท้ายด้วย เพราะหลังจากเรื่องนี้แล้วเธอก็กลับไปจับงานเขียนบท/ดัดแปลงบทต่อ ผลงานเด่นๆ ก็เช่น A Dog’s Purpose และ The Hate U Give ก่อนที่เธอจะจากโลกนี้ไปเมื่อปี 2018 ด้วยโรคมะเร็งครับ ก็ต้องขอไว้อาลัยเธอมา ณ ที่นี้ครับ

โดยรวมผมค่อนข้างโอเคกับหนังครับ มันอาจยังไม่ถึงกับดีแบบสุดๆ แต่ก็น่าพอใจแล้วสำหรับหนังสไตล์นี้ในช่วงปี 2000 ถ้าถามว่าใครบ้างที่เหมาะแก่การดูหนังเรื่องนี้ ก็คงเป็นเหล่าแฟนๆ ของ Diane Lane แล้วก็คนที่ชอบหนัง Feel Good ว่าด้วยการที่ตัวละครหลักมาเริ่มต้นตั้งตัวใหม่อีกครั้ง หลังจากเจอเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงครั้งหนักๆ ในชีวิตน่ะครับ เพราะหนังมาพร้อมแง่คิดประจำนั่นก็คือ หากท่านเจอเรื่องหนักๆ เจอจุดเปลี่ยนชีวิตที่ทำเอาเราหมดแรงและซวนเซ บางทีก็มัวแต่จมอยู่กับสิ่งเหล่านั้น (สิ่งที่เอาแค่สูบพลังไปจากท่าน) ก็อาจไม่ใช่ทางอันควร

สิ่งที่เราควรทำคือเอาตัวเองออกจากปัญหาครับ ลองเปลี่ยนบรรยากาศ ไปยังสถานที่ใหม่ๆ ลองไปคุยกับเพื่อน ลองไปอ่านหนังสือเล่มใหม่ (หรือเล่มเก่าที่เคยทำให้เรามีแรงใจ) ลองไปทำกิจกรรมที่เรายังไม่เคยทำ ฯลฯ สรุปรวมก็คืออย่าจมจ่อมอยู่ ณ จุดที่เป็นโคลนดูดครับ ขอให้ท่านดึงตัวขึ้นมา แล้วพาตัวเองไปอยู่ตรงอื่นสักพัก บางทีมันอาจช่วยให้ท่านเห็นทางออได้

หรือต่อให้ยังไม่เห็นทางออกก็เถอะ แต่อย่างน้อยมันก็จะช่วยบรรเทาความหนักอึ้งในหัว ในใจ และในกายของเราลงไปได้บ้าง เราจะได้มีแรงลุกขึ้นมาทำอะไรๆ ต่อไป

ตัวหนังถือว่าประสบความสำเร็จระดับกลางๆ ครับ ทำเงินทั่วโลกไป $58.8 ล้าน จากเงินลงทุนราว $18 ล้าน ก็ถือว่าใช้ได้ครับ

สองดาวกว่าๆ บวกๆ ครับ

Star21

(6.5/10)

ขอสปอยล์สิ่งที่ผมชอบในหนังอีกอย่างนะครับ

ผมชอบบทสรุปครับ ในตอนจบหนังจะลงเอยตรงที่ฟรานเชสก็ยังคงใช้ชีวิตต่อไปในบ้านหลังนั้น และเธอก็ได้จัดงานแต่งให้กับคู่รักวัยรุ่นคู่หนึ่ง ผมชอบที่ในตอนสรุปมีคนมาบอกกับฟรานเชสว่า ครั้งหนึ่งตอนเธอมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เธอเคยบอกว่า เธออยากให้ที่นี่มีงานแต่งงาน และเธออยากมีครอบครัวที่นี่ – โดยความหมาย ณ ตอนที่เธอพูดนั้น เธอก็คงหมายความประมาณว่า อยากเจอผู้ชายดีๆ แล้วก็แต่งงานกับเขาที่นี่ แล้วก็มีลูกมีหลาน สร้างครอบครัวที่น่ารัก ณ บ้านที่ทัสคานี่แห่งนี้

แต่แล้วพอถึงตอนจบของเรื่อง แม้เธอจะยังไม่มีคนรัก และยังไม่มีลูกก็เถอะ แต่จริงๆ แล้วเธอได้ครบที่ต้องการไปเรียบร้อย – เธออยากให้ที่นี่มีงานแต่งใช่มั้ย? ก็นี่ไงครับ มีงานแต่งจริงๆ เพียงแต่ไม่ใช่งานของเธอ แต่เป็นงานของคนที่เธอนับว่าเป็นครอบครัว

และแน่นอนว่าสำหรับที่เธอบอกว่า “อยากมีครอบครัว” นั้น เธอก็มีแล้วจริงๆ ไม่ว่าจะเด็กหนุ่มคนนั้นที่เธอสนับสนุนช่วยเหลือเขาจนสมหวังในรัก ไหนจะยังมี แพตตี้ เพื่อนซี้ของเธอที่มีลูกน่ารักอีก นี่ไงครับ เธอได้ครบตามที่เคยพูดไว้ เพียงแต่รายละเอียดของมันอาจจะต่างออกไปจากที่เธอหวัง แต่สุดท้ายแล้ว เธอก็มีครอบครัวจริงๆ ณ บ้านน้อยหลังนี้

ผมชอบประเด็นนี้นะ มันชี้ชวนให้เราย้อนมองตัวเองน่ะครับ ว่าบางคนอาจเคยคาดหวังวาดฝันเอาไว้ ว่าอยากมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วก็รอคอยว่าเมื่อไรจะมีสักที โดยที่บางทีสิ่งเหล่านั้นท่านอาจมีไปแล้วก็ได้ เพียงแต่โฉมหน้าหีบห่อมันอาจไม่ตรงกับที่ท่านต้องการไปเสียทั้งหมดเท่านั้นเอง เหมือนฟรานเชสน่ะครับ- และพอมีคนชี้ชวนให้เธอตระหนักถึงความจริงนี้ ความสุขอันมากล้นก็เอิบอาบหัวใจเธอในทันที

อะไรแบบนี้ก็ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะลองมองย้อนดูตัวเองนะครับ ว่าเราเองก็อาจคล้ายฟรานเชส ที่อาจมีสิ่งที่ต้องการอยู่แล้วแท้ๆ แต่แค่มองไม่เห็นเท่านั้น…

… คนบางคนก็ไม่รู้หรอกครับว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน จนกว่าจะมีใครมาสะกิดบอกให้รู้ตัว