แหม ปีนี้ต้องยกให้เรื่องนี้เป็นหนังสมหวังแห่งปีครับ… สมหวังนี่ไม่ได้แปลว่าชื่นชอบถูกใจอะไรหรอกนะครับ แต่หมายความว่า กะคร่าวๆ ว่าหนังจะออกมาอย่างไร มันก็ออกมาระดับนั้นเป๊ะ ไม่มีผิดคาด
กล่าวคือ คิดอยู่แล้วล่ะว่ามันต้องออกมาเอามันส์แบบไม่ต้องคิดอะไรให้เปลืองแรง สาระก็อย่าไปคาดหวังให้มากความ และหนังต้องทิ้งท้ายไว้ทำภาคต่อแบบพันเปอร์เซ็นต์…
ดูปุ๊บ ครบตามที่หวังจริงๆ
G.I. Joe คือหุ่นของเล่นยอดนิยมของอเมริกาครับ เป็นหุ่นทหารพิทักษ์โลกที่เด็กผู้ชายชื่นชอบกัน ในซีรี่ส์ Friends ก็ยังเคยเอามาแซวว่าถ้า บาร์บี้เป็นของคู่เด็กหญิง จีไอโจก็ต้องคู่กับเด็กชาย ว่ากันขนาดนั้นเลยน่ะนะครับ
ที่บอกว่าหนังตามคาดก็เพราะมันออกแนวบู๊กับแหลกตามแนวถนัดของผู้กำกับ Stephen Sommers แห่ง Deep Rising, The Mummy และ Van Helsing พระเอกของเรื่องก็คือเหล่าทหารเอกแห่งหน่วย G.I. Joe นำโดย ดุ๊ค (Channing Tatum), ริปคอร์ด (Marlon Wayans), สการ์เล็ตต์ (Rachel Nichols) แล้วก็สเน็ค อายส์ (Ray Park) ภายใต้การนำของท่านนายพลฮอว์ค (Dennis Quaid)
สำหรับภารกิจล่าสุดคือการตามหาอาวุธนาโนมหาประลัยตัวล่าสุดที่ เจมส์ แมคคัลเลน (Christopher Eccleston) คิดค้นขึ้น แต่พอสืบไปค้นมาก็ดูเหมือนว่าผู้อยู่เบื้องหลังจะเป็นเจมส์เองนั่นแหละ (แหม เดายากแท้น้อ หน้าพี่แกก็บอกยี่ห้อรอครองโลกอยู่แล้ว)
นอกจากนี้ดุ๊ค พระเอกของเราก็ต้องเผชิญกับคนรักเก่า (Sienna Miller) ที่ตอนนี้กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามผู้ช่วงชิงอาวุธนาโนที่ว่านี่ไปซะแล้ว (น่าน เพิ่มปมขัดแย้งเข้าไปอีกหน่อย ให้หนังอร่อยขึ้น ฮ่าๆๆ )
เฮ่อ คิดไงได้งั้นจริงๆ ครับหนังเรื่องนี้ เน้นบู๊แบบ Non-Stop โชว์ Effect เต็มที่ ซึ่งผมว่าก็ทำออกมาได้ไม่เลวนะครับในเรื่อง Effect อย่างตอนที่หอไอเฟิลโดนอาวุธนาโนหรือฉากบู๊ทั้งหลาย
ก็ดูได้เพลินๆ เหมือนดูหนังการ์ตูนนั่นแหละครับ เอาสะใจกันล้วนๆ ไปเลย คนที่อยากดูหนังเอามันส์สะใจเป็นหลักก็น่าจะสาแก่ใจกับหนังเรื่องนี้ (ผมก็หวังอยู่ประมาณนี้แหละครับ เลยค่อนข้างสมประสงค์)
แต่ที่ออกจะผิดคาดหน่อยๆ คือการผูกเรื่องน่ะครับ เพราะหนังเรื่องก่อนๆ ของ Sommers แกจะผูกเรื่องได้เนียนและมีการซ่อนปมเจ๋งกว่านี้นะ แต่กับเรื่องนี้เหมือนจะผูกแบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อนนัก
อันนี้ผมก็พอเข้าใจล่ะครับ แกคงไม่อยากผูกหลายทบเดี๋ยวคนดูจะไม่ชอบแบบตอน Van Helsing ที่พี่ท่านพยายามผูกซ่อนปม สร้างตำนานใหม่ขึ้นมา แต่คนดูดันนิ่งและไม่ค่อยโอเคนัก งานนี้แกเลยเล่นง่ายๆ โยงเรื่องแค่พอดีคำซะเลย (ทว่าตัวกระผมเองชอบการผูกการโยงเรื่องแบบใน Van นะ มันเจ๋งดี)
ดาราก็คัดมาหน้าตาสวยหล่อเป็นหลัก (อาจจะยกเว้น Wayans ไว้คนนึง) และมีการพกเอาดาราขาประจำในหนังของ Sommers มากันครบ เริ่มจากพี่ Brendan Fraser มาเป็นจ่าสโตน คนฝึกสอนเหล่าจีไอหน้าใหม่ (ตอนเห็นแว่บแรกคิดขำๆ ว่าแกจะฝึกคนไปตีกับมัมมี่หรือเปล่า)
ตามด้วย Arnold Vosloo ที่มาโผล่แบบแว้บไปแว้บมาจนคนดูงงเหมือนกันว่าแกจะมาทำอะไร แต่พอตอนจบก็ถึงบางอ้อ และที่ขาดไม่ได้คือ Kevin J. O’Connor ในบท ดร. ไมนด์เบนเดอร์ ที่พี่ชายของแฟนเก่าพระเอกไปเจอระหว่างปฏิบัติภารกิจสุดท้ายนั่นน่ะแหละครับ เรียกว่าเหล่าดารารับเชิญนี้ไปเรียกมาจากกองถ่าย The Mummy มายกแก๊งเลยล่ะ
ดูด้วยความมันส์ครับ เพลินแบบเรื่อยๆ ช่วงท้ายก็ตีกันมันส์พอสมควร (แต่ไม่ถึงกับมากอะไร) และที่ออกจะตะขิดตะขวงใจหน่อยคือตอนที่สเน็ค อายส์เผด็จศึกกับสตอร์ม ชาโดว์ (Byung-hun Lee) ในตอนท้ายน่ะครับ ที่ออกจะมันส์น้อยไปหน่อย แล้วพื้นที่มันก็แคบไปนิด จะวาดดาบ ฟาดแข้งก็ไม่ค่อยถึงใจเลย ไม่รู้เป็นเจตนาของผู้กำกับหรือเปล่าที่อยากให้สู้กันในที่แคบๆ
เอาเป็นว่าถ้าอยากเอามันส์แบบดูหนังการ์ตูนฉบับคนแสดงก็เรื่องนี้ได้เลยครับ คาดว่าถ้ามีภาคหน้าก็น่าจะมันส์ขึ้นแล้วล่ะ อุตส่าห์ปูเรื่องมาตั้งขนาดนี้แล้ว ส่วนภาคนี้ก็ถือว่าพอกล้อมแกล้ม สนุกแบบผ่านมาผ่านไป ตอนแรกคิดว่าจะซื้อเก็บ แต่พอดูแล้วก็ไม่ได้ติดใจอะไรเป็นพิเศษ ให้อารมณ์เหมือนดูหนังบู๊ไซไฟที่ Effect หนาและอุดมระเบิดเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง
… สำหรับแฟนของ Sommers นะครับ ความสนุกของหนังเรื่องนี้โดยส่วนตัวแล้วมองว่ายังไม่มากเท่า Deep Rising ครับ และไม่ได้เด็ดเท่า The Mummy สองภาคแรกด้วย
นั่นแหละครับ หวังอย่างไรได้อย่างนั้น ไม่ได้มันส์หรือสนุกกว่าที่กะไว้เลย
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Sci-Fi