Action

Vantage Point (2008) แวนเทจพอยท์ เสี้ยววินาทีสังหาร

Vantage-Point-movie-poster

หลังจากดู Angels & Demons และมองหน้านางเอกคนสวยอย่าง Ayelet Zurer แล้ว ในใจก็พาลคิดไปครับว่า “ไหงเธอไม่ทรงเสน่ห์เท่าใน Vantage Point หว่า”

จริงๆ นะครับ ตอนผมดู Vantage Point ผมติดตาอยู่สองอย่าง คือเรื่องราวแนวระทึกที่ทำได้สนุกน่าตื่นเต้นไม่เลว กับ เสน่ห์ของ Zurer ที่แม้จะไม่ได้ปรากฏตัวมากมายในเรื่อง แต่กล้องจับไปทีไรรู้สึกว่าเธอดูเด่นขึ้นมาได้ โดยเฉพาะฉากแรกที่ปรากฏตัวครับ ในความเห็นผมนะครับ เธอดูมีเสน่ห์มากจริงๆ จนไม่น่าแปลกใจที่ไอ้หนุ่มคนรักของเธอนั้นจะยอมทำทุกอย่างเพื่อเธอ

แต่สำหรับ Angels & Demons… ไม่รู้ทำไมเธอดูธรรมดาจัง … เอาเถอะครับ นั่นมันนอกประเด็นแล้วนี่เน้อะ มาว่ากันเรื่องหนังดีกว่า

Vantage Point เรื่องนี้ก็ออกแนวแอ็กชันแข่งกับเวลาสไตล์คล้ายซีรี่ส์ 24 มาบวกกับหนังแอ็กชันระทึกแข่งเวลาของ Johnny Depp อย่าง Nick of Time ได้ออกมาเป็น หนังบู๊ระทึกที่อร่อยใช้ได้ครับ ลีลาที่น่าสนใจมากคือหนังตลอดทั้งเรื่องจะเป็นการเล่าเหตุการณ์ต่างสถานที่ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งแต่ละเหตุการณ์ที่แต่ละตัวละครเผชิญก็เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ที่ค่อยๆ ไขปริศนาให้คนดูอย่างเราๆ เห็นภาพรวมชัดขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งไปกว่านั้นคือ เหตุการณ์ที่เราเห็นในตอนต้นๆ ของเรื่องราวอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นไปเสียทั้งหมดก็ได้!

ส่วนประเด็นหลักก็คือ มีการลอบสังหารประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา (William Hurt) ต่อหน้าต่อตาตำรวจลับมือเก๋าอย่าง โทมัส บาร์นส (Dennis Quaid) ทำให้เขาและทีมต้องรีบไขปริศนาล่าความจริงให้เร็วที่สุด เพื่อจับตัวการมาลงโทษ และเพื่อยับยั้งเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาอีก

ว่าโดยสรุปนะครับ หนังจัดว่าทำได้เร้าใจ สนุก ตื่นเต้นใช้ได้ อาจจะไม่เด็ดแบบสุดๆ แต่ก็ดึงความสนใจคนดูได้อย่างอยู่หมัดทีเดียว แล้วหนังก็ยังมีการหักมุม เรื่องพลิกไปพลิกมา ตัวละครบางคนอาจไม่เป็นอย่างที่เราเห็น เหตุการณ์ที่เราคิดว่าใช่ก็อาจจะไม่ใช่ อะไรพวกนี้แหละครับคือเสน่ห์และความสนุกของหนังสไตล์นี้

ดาราในเรื่องก็จัดว่าคัดคนมีฝีมือมาทั้งสิ้นครับ ตั้งแต่ Quaid ที่พกพาหน้าตาจริงจังและความกำยำมาขึ้นจอ ดูแล้วเชื่อได้ไม่ยากครับว่าพี่แกคือตำรวจลับมือดี แต่ขณะเดียวกันแววตาก็แฝงปมบางอย่างไว้ในใจ ทำให้ตัวละครนี้มีมิติ ไม่ใช่แค่พระเอกยอดเก่งตามสูตรทั่วไป

Forest Whitaker ขานี้ก็หายห่วงครับ แสดงบทคนธรรมดาที่มาอยู่ในเหตุการณ์นี้ได้อย่างยอดเยี่ยม หน้าตาเขาดูเป็นคนดี มีน้ำใจน่ะครับ ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าคนแคสติ้งเนี่ยเลือกพี่แกมาลงบทนี้ได้อย่างพอเหมาะจริงๆ ส่วนรายอื่นๆ อย่าง Sigourney Weaver ในบท เร็กซ์ บรูกส์ หัวหน้าฝ่ายข่าวนอกสถานที่ กับ Hurt ในบทประธานาธิบดีก็ไม่ต้องทำอะไรมากครับ แสดงไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เนียนไปกับบทเอง เรียกว่าระดับมืออาชีพแล้วน่ะครับ ส่วนดาราสมทบน้อยใหญ่ในเรื่องทุกคนต่างก็มีส่วนทำให้หนังดำเนินเรื่องไปอย่างน่าติดตามด้วยกันทั้งสิ้น เรียกว่าเลือกดารามาได้เหมาะจริงๆ ครับ

จัดเป็นหนังบู๊ระทึกที่ทำได้น่าติดตามครับ มีอะไรชวนให้ลุ้นอยู่เรื่อยๆ ลีลามุมกล้องก็ชวนให้เร้าใจดี จุดนี้ต้องชมผู้กำกับภาพ Amir Mokri (แห่ง Bad Boys II, Lord of War และ Man of Steel) ที่จับภาพเหตุการณ์แต่ละช่วงได้อย่างน่าติดตาม และที่ลืมไม่ได้คือมือตัดต่อระดับตำนานอย่าง Stuart Baird รายนี้ก็ทำหน้าที่ร้อยเรียงเรื่องราวสุดระทึกเข้าด้วยกันได้อย่างน่าปรบมือ รายนี้เคยโดดไปเป็นผู้กำกับอยู่พักหนึ่งครับ กำกับเรื่อง Executive Decision และ U.S. Marshals แต่สุดท้ายก็กลับมารับงานตัดต่อเหมือนเดิม ซึ่งฝีมือการลำดับภาพของเขาไม่เป็นสองรองใครครับ

ดูแล้วไม่ผิดหวังครับว่า แต่ด้านเนื้อเรื่องผมคงไม่กล่าวอะไรไปมากกว่านี้ล่ะนะครับ เพราะรู้น้อยแล้วค่อยๆ ไปไขปมในเรื่องเองย่อมสนุกกว่ากันเป็นไหนๆ โดยเรื่องนี้ผู้กำกับก็คือ Pete Travis ครับ ถือเป็นงานที่น่าจดจำ ในแง่รายได้ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ลงทุน $40 ล้าน ทำไป $152 ล้านจากทั่วโลก ถือว่าสวยงามครับ และหลังจากทำเรื่องนี้เขาก็ได้ไปทำเรื่อง Dredd แต่น่าเสียดายที่เรื่องนั้นทำเงินไม่เข้าเป้า (แม้หนังจะออกมาสนุกก็ตาม)

ผมว่าหนังก็สอนคนดูอยู่กลายๆ นะครับ ว่าจะทำอะไรหรือจะมองเรื่องอะไรนั้น เราควรมองให้ครบด้าน (เหมือนมองด้วยกระจกหกด้านนั่นแหละครับ) หรือการจะตัดสินใคร่ครวญอะไรก็ต้องรวบรวมข้อมูลหลักฐานให้มากที่สุด ก่อนจะทำอะไรลงไป อย่างคิดแค่พื้นๆ มองแค่ผิวๆ เพราะมันอาจทำให้เราพลาดเรื่องสำคัญ จนตัวเราเองเผลอทำเรื่องผิดพลาดลงไปก็ได้

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)

vantage-point