
ภาคแรกทำเงินระดับร้อยล้าน ก็ต้องมีการทำภาคต่อออกมากันหน่อยล่ะนะครับ กับ 102 Dalmatians หลังจากคราวก่อนครูเอลล่า เดอ วิล (Glenn Close) เจ้าแม่แฟชั่นคลั่งขนสัตว์จอมวายร้ายโดนจับขัง แต่แล้วก็มีนักวิทยาศาสตร์ทำการบำบัดจนเธอเปลี่ยนเป็นคนใหม่ กลายเป็นคนใจงาม ไร้ความรุนแรง และเกลียดขนสัตว์ทุกชนิด
พอเธอออกมาได้เธอเลยพยายามทำทุกอย่างเพื่อชดเชยความผิด อย่างการรับอาสาให้ทุนสนับสนุน เควิน เชพเพิร์ด (Ioan Gruffudd) ชายรักสุนัขที่พยายามจะเปิดมูลนิธิช่วยสุนัขให้สำเร็จดังตั้งใจ
แต่ปัญหาคือครูเอลล่าของเรา จะอดใจได้นานแค่ไหน ยามที่ต้องอยู่ใกล้สุนัขขนงาม โดยเฉพาะพันธุ์ดัลเมเชี่ยน!
ภาคนี้เหมาะสำหรับดูแบบไม่คิดมากเป็นหลักครับ เพราะถ้าคิดเยอะหน่อยก็จะรู้สีกครับว่าหนังดูเป็นการ์ตูนมากขึ้น อะไรๆ หลายอย่างดูเบาๆ จริงๆ รายละเอียดมันก็ไม่ต่างจากภาคแรกน่ะครับ มีครูเอลล่า มีพระเอกนางเอก มีเหล่าดัลเมเชี่ยน ส่วนโครงเรื่องก็เหมือนเดิมคือให้ครูเอลล่ากลับมาหาทางลักพาลูกๆ สุนัขดัลเมเชี่ยนไปทำเสื้อขนสัตว์ แต่ภาคแรกจะดูกลมกล่อมกว่าครับ จังหวะการเล่าเรื่องดูมีอะไรมากกว่า ในขณะที่ภาคนี้บางช่วงบางตอนมันก็ดูโล่งๆ โถงๆ และง่ายๆ ไปสักหน่อย
แน่นอนว่าจุดเด่นเหนือใครต้องยกให้การแสดงของ Close ซึ่งเหมาะกับบทนี้แบบสุดๆ ตอนเป็นคนดีก็ดูเป็นคนดีจริงๆ (แม้จะดูการ์ตูนไปนิดก็เถอะ) ครั้นพอเป็นคนเก่านี่ลีลา หน้าตา และเสียงพูดนี่สำเนียงนางมารออกเลยครับ ยอมรับเลยว่าหนังดูได้เพลินๆ สนุกขึ้นมากมายก็เพราะ Close นี่แหละ
ส่วน Gérard Depardieu ที่มารับบท ฌอง ปิแอร์ เลอ เพลล์ ดีไซเนอร์ตัวร้ายที่มาแท็กทีมกับครูเอลล่าในการจับน้องหมาดัลเมเชี่ยนมาทำชุดคอลเล็กชั่นใหม่ พี่แกก็เล่นได้ไม่เลวล่ะครับ ขานี้ฝีมือเขาได้อยู่แล้ว เพียงแต่บทไม่เปิดโอกาสให้เด่นเท่าไร เจอ Close แย่งซีนไปหมด ส่วนพระเอกนางเอกประจำภาคอย่าง Gruffudd และ Alice Evans ก็โดนครูเอลล่ากับเหล่าสิงสาราสัตว์ในเรื่องกลืนความเด่นไปเหมือนกัน แต่ในแง่การแสดงแล้วผมว่าทั้งคู่ก็ทำได้ดีล่ะครับ
เป็นงานกำกับหนังคนแสดงเรื่องแรกของ Kevin Lima สำหรับเรื่องนี้ก็ดูได้ขำๆ ครับ แต่ถ้าเทียบกับภาคแรกแล้ว ภาคแรกจะดูมีน้ำมีเนื้อ มีความพอดีกว่า และโทนของสถานที่ต่างๆ ในการถ่ายทำภาคแรกก็ดูดีกว่า ในขณะที่ภาคนี้ดูแล้วโลเคชั่นคล้ายหนังทีวีอยู่พอสมควร
ก็ดูได้ครับ ดูน้องหมาน่ารักเยอะแยะมากมาย ดูครูเอลล่าเปลี่ยนเป็นคนดี ก่อนจะกลับมาเป็นคนร้าย และตามด้วยการเผชิญวิบากกรรมสารพัดในช่วงไคลแม็กซ์ เรียกว่าภาคนี้ครูเอลล่าโดนอ่วมจนสาสมไปเลย ก็แอบชื่นชมนะครับ เพราะ Close ก็กล้าเล่นเหมือนกัน ประมาณว่าบทบ้าไปแค่ไหนฉันก็ยินดีจัดให้ตามต้องการ

ส่วนหนึ่งที่หลายๆ อย่างในภาคนี้ไม่เหมือนภาคแรกก็เพราะภาคแรกนั้นสร้างโดยบริษัท Great Oaks Entertainment ของ John Hughes แต่แล้วบริษัทก็ปิดตัวไปหลังจากที่หนัง Flubber ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แล้ว Disney ก็มาสร้างภาคนี้เอง อันนี้ก็ต้องยอมรับน่ะครับว่าเนื้องานในภาคแรกของ Hughes (ที่ทั้งอำนวยการสร้างและเขียนบท) นั้นจะดูมีอะไรมากกว่า ดูลงตัวกลมกล่อมกว่า
เกร็ดเล็กๆ ที่อยากนำมาบอกก็คือทุกครั้งที่ Close ใส่ชุดครูเอลล่าร่างนางมารแบบเต็มยศ จะไม่มีสุนัขตัวไหนเลยที่กล้าเฉียดกรายเข้าไปใกล้เธอครับ และในการถ่ายทำก็มีความยากนิดๆ เพราะลูกๆ สุนัขดัลเมเชี่ยนนั้นโตไวครับ ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนลูกสุนัขในการแสดงทุกๆ 2 สัปดาห์
และตอนแรกก็ได้มีการทาบทามให้ Stephen Herek ผู้กำกับภาคแรกมาทำหน้าที่เดิม แต่เขาไม่ว่างครับ Close เลยแนะนำกับ Disney ให้ Kevin Lima มากำกับเพราะก่อนหน้านี้ Close เคยได้ร่วมงานกับ Lima ในหนังแอนิเมเชั่นอย่าง Tarzan แล้วเธอก็เห็นแววของ Lima ครับ เลยสนับสนุนเต็มที่ ซึ่งแม้เรื่องนี้หนังอาจไม่ได้ยอดเยี่ยมตรงเป้าอะไรนัก แต่ก้าวต่อมาของ Lima กับหนังอย่าง Enchanted ก็ถือว่าพัฒนามากขึ้นเยอะพอตัว
อีกหนึ่งเกร็ดน่ารักๆ คือ คู่พระนาง Gruffudd และ Evans นั้นมาพบรักกันในหนังเรื่องนี้ครับ ก่อนที่พวกเขาจะแต่งงานกันในเวลาต่อมา แต่แล้วพวกเขาก็แยกทางกันในปี 2021
ด้านรายได้ภาคนี้น้อยกว่าภาคแรกเกือบครึ่งหนึ่ง (ภาคแรกได้ $320 ล้านจากทั่วโลก ส่วนภาคนี้ได้ไป $183 ล้านครับ ส่วนทุนสร้างก็ประมาณ $85 ล้าน หนังเลยถือว่าพอคุ้มทุนแต่ไม่ถึงกับทำกำไร)และในปี 2017 ก็มีข่าวแว่วๆ ออกมาว่าจะมีการทำภาคก่อนหน้า (Prequel) โดยให้ Close กลับมารับบทครูเอลล่าเหมือนเดิม และร่วมแสดงกับ Selena Gomez และ Michelle Keegan แต่สุดท้ายแล้วโครงการก็เปลี่ยนแปลงครับ เปลี่ยนมาเป็นภาคก่อนหน้าที่แสดงโดยEmma Stone แทน (แต่ Close ก็ยังได้นั่งแป้นร่วมอำนวยการสร้างครับ)
ถ้าไม่คิดมากก็ดูเอาสนุกครับ ดูกับเด็กๆ ก็น่าจะเฮฮาอยู่
เกือบสองดาวครับ

(5.5/10)
หมวดหมู่:Comedy, Family, Movie Reviews










