หนังฆาตกรรมโหดอำมหิตที่เกาะกระแสความดังของ Scream มาเป็นเรื่องแรกๆ เลยครับ เรื่องของสี่วัยรุ่นหนุ่มสาวอันประกอบไปด้วย จูลี่ เจมส์ (Jennifer Love Hewitt) สาวสวยสมองดี, เฮเลน ชิฟเวอร์ส (Sarah Michelle Gellar) ดาวโรงเรียนสุดเซ็กซี่ ผมสีบลอนด์, แบร์รี่ วิลเลี่ยม ค็อกซ์ (Ryan Phillippe) หนุ่มรวยเลือดร้อน ใช้อารมณ์เป็นหลัก แฟนหนุ่มของเฮเลน และ เรย์ บรอนสัน (Freddie Prinze Jr.) หนุ่มชาวเรือแฟนของจูลี่ ในคืนฉลองสุดเหวี่ยงของพวกเขา ก็เฮ้วกันเต็มที่ครับ แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน เมื่อดันไปขับรถชนคน… ซวยล่ะสิครับ

แต่พวกเขาก็ไม่ยอมให้ความผิดนี้ต้องเปิดเผยออกไป จัดการทิ้งศพถ่วงน้ำ พร้อมสาบานว่าพวกเขาจะไม่ปริปากบอกใครทั้งสิ้น

ปีหนึ่งผ่านไป ทุกคนก็ยังคงจำเรื่องเลวร้ายในคืนเฮ้วนั้นได้ไม่มีลืม โดยเฉพาะจูลี่ที่ยังรู้สึกผิดตลอดเวลา จนกระทั่งมีคนส่งโน้ตมาบอกแกมขู่พวกเขาว่า “ฉันรู้นะ ว่าแกทำอะไรไว้เมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว” เอาล่ะสิ ใครเป็นคนทำ มันรู้เรื่องอะไร หรือจะรู้เรื่องพวกเขาไปขับรถชนคนตาย

แต่เจ้าคนลึกลับนี่ขู่ก็ไม่ขู่เปล่า ไล่ฆ่าคนด้วยนี่สิครับ พวกเขาเลยต้องหาความจริงเพื่อเอาตัวรอดก่อนจะกลายเป็นศพต่อไป

หนังถือว่าเกาะกระแสมาจากความดังของ Scream ที่ส่งให้มือเขียนบท Kevin Williamson กลายเป็นของร้อนขึ้นมาในตอนนั้น ส่วนบทหนังเรื่องนี้ก็ได้เค้าโครงมาจากนิยายชื่อเดียวกันนี้ในปี 1973 ของ Lois Duncan โดย Williamson ก็ได้ดัดแปลงจากหนังสือมาเป็นบทหนังโดยเขาตั้งใจให้มันมีกลิ่นอายตามสไตล์หนังแนวเชือดยุค 80 อย่าง Prom Night และ The House on Sorority Row แล้วบทก็สำเร็จออกมาเป็นหนังเรื่องนี้ครับ

และจริงๆ แล้วบทเรื่องนี้น่ะเสร็จตั้งแต่ต้นยุค 90 แล้วครับ เรียกว่าเสร็จก่อนบท Scream ซะอีก และ Williamson ก็เร่ขายบทไปทั่วฮอลลีวู้ด แต่ก็ไม่มีสตูดิโอไหนซื้อเลยแม้แต่เจ้าเดียว โดยทุกที่ให้เหตุผลคล้ายๆ กันว่ามันหมดยุคหนังแนวเชือดไปแล้ว แต่พอ Williamson ประสบความสำเร็จไปกับ Scream เท่านั้นแหละ หลายเจ้าก็หันมาสนใจบทนี้แทบจะทันที

แต่ถ้าให้เทียบเปรียบกันแล้ว บทหนังเรื่องนี้ก็อ่อนกว่า Scream เยอะครับ ความซับซ้อนไม่ได้มากมาย จุดที่ดีหน่อยคือจังหวะการสร้างความตื่นเต้น และฉากการฆ่าที่โหดแบบพอเพียง (คือถ้ามากไปก็ไม่ดีครับ ประมาณนี้แหละไม่เลอะเทอะเกินไป) Jim Gillespie เป็นคนกำกับครับ และงานเรื่องแรกนี้ก็ไม่เลว ใช้ได้ สยองพอเหมาะ บทแม้จะไม่แน่นแต่ก็ได้อารมณ์และจังหวะนี่แหละครับ ช่วยดึงคนดูไปได้ตลอด

อีกหนึ่งแรงที่ดึงคนดูได้อย่างดีคือการแสดงของเหล่าวัยรุ่นที่หล่อสวยกันแบบเต็มที่ ซ้ำยังเล่นได้โอเคเลยนะครับ โดยเฉพาะ Phillippe นี่ดูเป็นเด็กรวยน่ารุมกระทืบซะเหลือเกิน หรือ Gellar ก็ดูเป็นสาวบลอนด์ที่สวยเป็นหลัก สมองเป็นรองทำอะไรไม่เป็นได้เหมาะดี ส่วน Hewitt ก็สวยครับ ซ้ำยังเซ็กซี่มากด้วย ยิ่งช่วงท้ายๆ นี่ชัดเลยครับ จนผมกับเพื่อนตอนนั้นเปลี่ยนชื่อไทยของหนังเลยล่ะครับ เป็นซัมเมอร์สยอง ต้องใหญ่ 555…  ส่วน Prinze Jr. ก็ไม่เด่นครับ แต่ก็ถือว่าพอเอาตัวรอดได้

แต่ก็ต้องชมคนแคสติ้งนะครับ เพราะตอนแรกบทของ Hewitt และ Gellar นั้นสลับกันครับ รายแรกมาเพื่อคัดตัวเป็นเฮเลน รายหลังมาคัดตัวเป็นจูลี่ แต่ทีมงานเล็งเห็นครับว่าควรสลับ เลยมีการสับเปลี่ยนกันซะเลยซึ่งเป็นการเปลี่ยนที่ดีต่อตัวหนังครับ แต่ละคนเหมาะกับบทที่ได้รับดี

ดาราสมทบก็น่าสนใจครับ อย่าง Bridgette Wilson นี่สวยมาก เซ็กซี่ดี ส่วน Anne Heche นี่มามาดโหดเชียวครับ การที่หนังได้ดาราหน้าคุ้นมารับบทสมทบแบบนี้ก็ทำให้ความน่าสนใจมีอยู่เรื่อยๆ – แล้วเรายังจะได้เจอกับ Johnny Galecki พ่อหนุ่มเนิร์ดแห่ง The Big Bang Theory ที่ตอนนั้นยังไม่ดังมารับบทสมทบเป็นหนุ่มที่แอบชอบจูลี่ด้วยครับ

แต่ถ้าถามว่าหนังดีไหม? ก็บอกได้ว่าพอเพลินครับ ไม่ได้ยอดเยี่ยมในฐานะหนังสยองไล่ฆ่า แค่ไม่ผิดหวังเท่านั้นเอง มีหนุ่มหล่อสาวสวยเยอะแยะ บทหนังก็ไม่ขี้ริ้วไร้สาระเกินเหตุ (แค่เดาได้เท่านั้นเอง) แค่นี้ก็ถือว่าผ่านแล้วครับ

พูดถึงเรื่องบทแล้วก็มีประเด็นอยู่เหมือนกันครับ เพราะในเวลาต่อมา Duncan เจ้าของบทปประพันธ์เองก็ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ เพราะแรกเริ่มเดิมทีนิยายเล่มนี้เธอแต่งมาเป็นแนวลึกลับ ซ่อนเงื่อน มีชั้นเชิงกว่านี้เยอะ เป็นแนวลึกลับจิตวิทยา ประมาณว่าตัวร้ายไม่ล่าฆ่าพวกเขา แต่ไซโคจนพวกเขาบ้า และเริ่มหวาดระแวงกันเอง ซึ่งการไซโคก็อุดมชั้นเชิงอยู่ครับ จึงพอเข้าใจได้ว่าทำไมเธอถึงไม่ชอบใจนักที่หนังออกมาเป็นแนวเชือดแทน

ก็เอาน่ะครับ เป็นเรื่องปกติของฮอลลีวู้ดอยู่แล้ว ดัดแปลงจากนิยายทีไรเรื่องไปคนละทางทุกที สรุปนะครับว่า I Know ก็เป็นหนังสยองฆาตกรรมวัยรุ่นที่ไม่ผิดหวังครับ ดูได้เพลินๆ ถือว่าสนุกรองจาก Scream ลงมาในบรรดาหนังไล่ฆ่า (แต่รองลงมาหลายขุมหน่อยนะ) ถ้าอยากดูสยองแบบเด็ดดวงต้อง Scream ครับ แต่ถ้าอยากดู Hewitt หรือ Gellar ก็โอเค เข้าใจกันครับ ดูไปเถอะ 555

ในแง่รายได้ก็ถือว่าสวยเลยครับ ทำเงินทั่วโลกไป $125 ล้าน จากทุนสร้างแค่ $17 ล้านเท่านั้น – แบบนี้ภาคต่อเลยต้องมาครับ

สองดาวครับ

(6/10)