รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Hellraiser: Deader (2005) เจาะประตูเปิดผี

B0007US7BC.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1112189429_

ผมนั้นเป็นคนชอบดูหนังสยองนะ ยิ่งพวกหนังสยองที่สร้างตอนต่อออกมามากๆ ผมจะชอบและจะตามดูต่อให้ใครบ่นก่นด่ามากแค่ไหน ผมก็ไม่ละความพยายามในการดูครับ เพราะอยากรู้ว่าจะมีอะไรมาเสนอเราอีก หรือจะเละขึ้นอีกแค่ไหน ผมก็ดูด้วยความสนุกตลอดครับทั้ง Friday the 13th, หรือพี่เฟรดดี้ หรือฮัลโลวีน ตามดูหมดครับด้วยความ Happy

แต่เห็นจะมีแต่หนังชุด Hellraiser นี่แหละที่ผมตามดูด้วยความ Sadly

สาเหตุสำคัญก็เพราะหนังเรื่องอื่นๆ แม้จะสร้างออกมามากภาค ออกมาเลอะแค่ไหน แต่อย่างน้อยที่สุดมันยังคงเป็นหนังชุดนั้นครับ โครงเรื่อง ลีลา ธีมหลักมันยังเป็นเรื่องนั้นๆ ไม่เปลี่ยน

แต่เรื่อง Hell นี่มัน What’s A Hell อ้ะครับ มันไม่ใช่ Hell อย่างต้นแรกต้นเริ่มอีกต่อไปแล้ว ตั้งแต่ภาค 3 ลงมานี่หลุดไปแล้วครับ โดยส่วนตัวผมยกให้หนัง Hell จบบริบูรณ์ไปแล้วในภาค 3 นะ ภาค 4 ถือว่าตอนพิเศษ แต่ไม่ใช่ Hell เท่าไหร่ จนมาภาค 5 ลงมาหนังก็กลายเป็นอะไรที่ไม่ใช่ Hell แล้วครับ สาเหตุสำคัญน่าจะมาจากความดันทุรังของผู้สร้างน่ะแหละ จริงๆ โครงเรื่องของหนังจบชุดไปแล้วตั้งแต่ภาค 4 แต่ภาค 5 นี่เป็นการเปิดแนวใหม่ ธีมใหม่ ซึ่งแม้มันจะเกี่ยวกับ “นรก” อยู่ แต่มันไม่ใช่ Hell นี่หว่า – แม้ภาค 5 ผมจะโอเคในระดับหนึ่งก็ตาม แต่ก็ต้องว่าตามจริงว่ามันไม่ใช่ Hell แบบดั้งเดิม และพี่พินเฮดก็เปลี่ยนไปกลายเป็นปีศาจชี้ทางธรรม

จริงครับ ยอมรับว่าเปิดกล่องแล้ว พี่พินเฮดจะออกมาพร้อมนรก แต่ของจริงของแท้น่ะ มันต้องออกมาพร้อมนรก และโซ่ และตะขอเกี่ยวเนื้อ นั่นแหละของจริง แต่มาภาคหลังๆ คำว่า “นรก” ถูกตีความไปว่าเป็น “นรกทางจิตใจ” คือเปิดมาแทนที่จะเจอพี่พินเฮดแกฉีกเนื้อฉีกตัว ดันกลายเป็นว่าต้องโดนหลอกหลอนอยู่ในโลกแห่งความฝัน เจอเรื่องแปลกๆ ทำลายสภาพจิตอะไรแบบนั้นมากกว่า

ไม่เถียงว่ามันคือ “นรก” อีกแบบ แต่มันไม่ใช่นรกแบบ Hell นี่หน่าครับ ดังนั้นพี่แกควรจะแยกไปทำเป็นเรื่องแยกสร้างอสูรตัวใหม่ขึ้นมาเลยจะดีกว่า แต่มาคิดอีกที ค่าย Dimension คงเห็นว่าถ้าเอาพี่พินเฮดและชื่อ Hell มาเป็นตัวนำ ก็คงดึงลูกค้าได้ดีกว่า ก็เลยเอาซะอย่างงั้นง่ายๆ – หรือไม่ก็สร้างเพื่อไม่ให้ลิขสิทธิ์หลุดอะไรทำนองนั้น

แล้วก็ตามเคยครับ  Hell ภาคนี้ถูกสร้างขึ้นจากบทหนังของ Neal Marshall Stevens ที่ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นมาให้เป็นหนัง Hellraiser แต่เป็นหนังสยองเรื่องอื่น ทว่าผู้สร้างเห็นว่าการเอาบทหนังสยองเรื่องอื่นมาเขียนพินเฮดแทรกลงไป มันเซฟต้นทุนกว่าจะให้เขียนบทหนังใหม่ทั้งเรื่อง ก็เลยใช้วิธีตัดยอดต่อกิ่งแบบง่ายๆ เอาบทหนังสยองสักเรื่องมา แล้วก็ให้ Tim Day ที่เคยทำหน้านี้มาแล้วในหนังภาคก่อน ให้มาตัดต่อบท รีไรท์ใหม่ให้กลายเป็นหนัง Hell

ว่ากันว่า Day ต้องเขียนบทในองก์สุดท้ายขึ้นมาใหม่เพื่อปรับมันให้กลายเป็น Hellraiser (ใจเริ่มอยากรู้เหมือนกันนะครับ ว่าบทดั้งเดิมของหนังเรื่องนี้เนี่ย ถ้าทำเป็นหนังแล้วมันจะเป็นอย่างไร)

เอาเถอะครับ เราก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะทางผู้สร้างมันตัดสินใจไปแล้วนี่หน่า ก็ได้แต่ตามดูต่อไป เพราะแม้ในใจจะไม่ชอบนักที่เขาเล่นแบบนี้ แต่ในฐานะคนบ้าหนังก็ต้องขอดูล่ะครับ ถ้าดีก็ว่าไปตามดี ถ้าไม่ก็ว่ากันไป

hellraiser7deader_1

ภาคนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับลัทธิ Deader ลัทธิแห่งความตายที่สมาชิกจะต้องมารวมตัวกันแล้วก็ดูสมาชิกที่ถูกเลือกฆ่าตัวตาย และก็ได้มีคนบันทึกเทปเหตุการณ์ทั้งหมดส่งมาให้สำนักพิมพ์ข่าวแห่งหนึ่ง และนักข่าวสาวเอมี่ ไคลน์ (Kari Wuhrer) ก็ตัดสินใจตามข่าวชิ้นนี้ เพื่อค้นหาความลับ อันนำเธอไปพบกับ กล่องปริศนา และเมื่อเธอเปิดมัน เธอก็ได้พบกับ “นรก” ของเธอจนได้

ครับ แนวทางมันก็แบบภาค 5 ลงมาน่ะแหละ จริงๆ ตอนแรกที่เธอเปิดกล่องก็มีโซ่พุ่งมาปักหน้า ตอนแรกดีใจครับนึกว่ามันจะกลับมาสยองแบบเดิม แต่ที่ไหนได้ มันก็วกกลับไปเล่นประเด็นปมในใจอีกน่ะแหละ

แต่ถ้าเราทำใจครับ มองว่ามันไม่ใช่ Hell และไม่เอาความเป็น Hell มาเปรียบเทียบเลย ก็จะพบว่านี่เป็นหนังสืบสวนเหนือธรรมชาติแนวหลอนประสาทอีกเรื่อง ซึ่งแนวนี้นะครับ เรื่องที่เด็ดสุดยอดต้องยกให้ Jacob’s Ladder และหนังตั้งแต่ Hell 5 ลงมาก็เป็นการเดินตามรอยนั้นครับ และถ้าท่านชอบดูแนวนี้ก็โอเคน่ะ เพราะแนวสืบแบบนี้มันจัดว่าน่าสนใจประมาณหนึ่งอยู่แล้วล่ะ ที่น่าสนไม่ใช่ตรงความลุ้นนะครับ จุดที่สนุกของหนังแนวนี้อยู่ที่กลางเรื่องมากกว่าจะเป็นบทสรุป มันน่าสนว่าผู้เขียนบทจะเขียนโลก “หลอน” มาได้ชวนหลอนแค่ไหน ซึ่งจุดนี้ต้องอาศัยจินตนาการนะครับ พวกเขาต้องวาดภาพโลกที่มิติวิปริตบิดเบี้ยว ถ้าทำได้หลอนและสมจริงล่ะหนังจะหลอนคนดูได้ไม่ยาก ซึ่งหนังแนวหลอนนี่อาจจะไม่เข้ากับคนไทยนะครับ บ้านเราชอบหนังแนวจู่โจมด้วยภาพสยองแบบจะๆ ตามากกว่า แต่สำหรับผม แนวทางแบบนี้นับว่าน่าสนครับ

และสำหรับเรื่องนี้ ก็เรื่อยๆ นะ ทึมพอควร เรื่องราวก็น่าสนเป็นพักๆ อย่างพวกที่อาศัยอยู่ในรถไฟใต้ดินที่เล่นไปเรื่อยๆ แบบเนี้ย ก็ไม่เลว หรือลัทธินรกที่ให้คนฆ่าตัวตายฉากแบบนี้ก็กดดันได้ไม่เลว เพียงแต่เรื่องมันไม่เกินคาดหมายครับ จะหลอนจิตก็หลอนได้ไม่เต็มที่ ในกรณีที่ท่านดูหนังแนวนี้มาเยอะน่ะนะครับ แต่ถ้าท่านไม่เคยดู ก็อาจจะสนุกได้

ส่วนความเป็น Hell คงต้องตัดไปครับ แต่หนังดูเหมือนจะเข้าท่ากว่าสองภาคก่อนนะ ที่พี่พินเฮด (Doug Bradley) แกได้ทำท่าชั่วร้ายอย่างเต็มที่ซะที ซึ่งมันเหมือนครับ เหมือนจะกลับไปสู่ความเป็น Hell แบบเดิมๆ ซึ่งจริงๆ ตัวหนังอาจจะกลับไปเป็นแนวทางของ Hell แบบดั้งเดิมได้ หากไม่พยายามทำสไตล์ “นรกในใจ” น่ะครับ ถ้าแกเล่นเรื่องเป็นเรื่องนรกบนดินไปเลย หนังอาจจะสยองแบบภาคแรกๆ ก็ได้ แต่เสียดายที่ยังย่ำเล่นกับมุกหลอนที่ไม่ใช่ Hell อยู่

สรุปว่านะครับ นี่ไม่ใช่ Hell หรอกนะ แค่มีพี่พินเฮดเท่านั้น นอกนั้นไม่ใช่ คอ Hell ก็เตรียมบ่นได้ครับ แต่สำหรับในแง่ของความเป็นหนังหลอน ก็ถือว่าไม่เลวนะ ดูได้เรื่อยๆ มีฉากสยองพอควร ถ้าอยากดูหนังสยองแก้ขัดเรื่องนี้ก็ไม่เลวครับ หรือถ้าใครไม่เคยลองหนังแนวหลอนๆ แล้วอยากลองว่าจะถูกเส้นมั้ย ก็ลองดูได้จากเรื่องนี้นะครับ

รอดูภาค 8 ต่อไป

ดาวกว่าๆ ครับ

Star12

(5/10)

ใส่ความเห็น

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.