Drama

Quiz Show (1994) ควิสโชว์ ล้วงลึกเกมเขย่าประวัติศาสตร์

6305428522.01.LZZZZZZZ

ถ้าหากนับกันตามคำวิจารณ์ของชาวอเมริกันทั่วประเทศ และบวกเอาเกรดระดับ A ที่นักวิจารณ์ให้แล้วล่ะก็ หนังเรื่องนี้ คือหนังยอดเยี่ยมแห่งปี 1994 ครับ

ผลงานการกำกับของ Robert Redford เรื่องนี้ สร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในยุค 50 เป็นยุคที่เกมโชว์กำลังรุ่งเรือง และเกมที่ดังติดอันดับก็คือ เกม 21 เกมตอบคำถามที่จะมีผู้แข่งขัน 2 คนผลัดกันตอบคำถาม ใครทำแต้มได้ถึง 21 ก่อน ก็จะเป็นผู้ชนะและจะต้องกลับมาปกป้องตำแหน่งแชมป์ในสัปดาห์ต่อๆ ไป จนกว่าจะถูกโค่น

แต่แล้วปรากฏว่า ดิ๊ก กู๊ดวิน (Rob Morrow) เจ้าหน้าที่รัฐได้ทำการสืบสวนรายการดังกล่าว เพราะเขาได้รับการร้องเรียนจาก เฮอร์เบิร์ต สแตมเปอร์ (John Turturro) อดีตแชมป์ที่ถูกโค่นลงโดย ชาร์ลส แวน ดอเรน (Ralph Fiennes) โดย เฮอร์เบิร์ตอ้างว่า เกม 21 นี้มีการเตี๊ยมคำตอบและมีการเตี๊ยมว่า ใครจะเป็นผู้ชนะในสัปดาห์นั้นๆ !

นี่จัดเป็นเรื่องสั่นคลอนศรัทธาเรื่องสำคัญของคนอเมริกันครับ มีการโหวตให้ติด 10 อันดับแรกของรายการ The Ultimate 10 ในหัวข้อ “เรื่องหลอกลวงที่โด่งดังที่สุด” ผมจำไม่ได้ว่าอันดับไหนนะครับ แต่มันติด 10 อันดับแน่นอน และใช่ครับ จากเรื่องราวคือรายการนี้มีการเตี๊ยมกันจริง (ไม่ถือว่าสปอยล์หรอกครับ เพราะหนังมันจะบอกตั้งแต่ต้นๆ เลย)

อืมม์ เรื่องการเตี๊ยมไม่เตี๊ยมในเกมโชว์นี่ เป็นเรื่องที่ชอบถูกเอามาพูดกันเรื่อยๆ นะครับ บ้านเราช่วงที่รายการเกมโชว์จำพวกนี้ดังมันก็มีการหยิบยกมาพูดอยู่เรื่อย ว่า “เอ มันเตี๋ยมอ้ะป่าวหว่า” ซึ่งก็มีมุมมองเรื่องนี้ได้หลากหลาย อย่างมุมหนึ่ง รายการเกมโชว์มันคือรายการบันเทิง ดังนั้นหน้าที่ของเกม ก็คือสนองความบันเทิงให้ผู้ชม แล้วการที่จะเตี๊ยมเพื่อให้คนดูตื่นเต้นในอารมณ์บ้าง มันก็ไม่น่าจะผิดอะไร ไม่งั้นรายการชืดตายเลยครับ หากไม่มีสีสันหรืออะไรให้ลุ้น ลองสังเกตมั้ยครับ บางทีผู้เข้าแข่งขันสมมติว่ามีอยู่สองฝ่ายนะ ทำไมคำตอบมันถึงเฉียดกันได้ขนาดนั้น คิดดูครับ ถ้าคำตอบมันเรื่อยๆ ไม่เฉียดคะแนนห่างกันแบบไม่ต้องลุ้น แล้วรายการมันจะน่าดูมั้ยล่ะ (ยกเว้นคุณจะดูคนตอบหรือพิธีกรที่เป็นสาวๆ สวยๆ น่ะนะครับ นั่นมันอีกเรื่องนึง)

แต่ประเด็นนี้ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง สำหรับหลายคนมันอาจถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะมันเท่ากับหลอกลวงประชาชน โป้ปดต่อผู้บริโภค นี่จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจและมองได้หลายมุมเหลือเกินครับ

การที่หนังได้รับคำชมและได้คะแนนระดับ A จากทุกสำนักวิจารณ์นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเลยครับ เพราะหนังมันถึงเครื่องจริง เริ่มจากนักแสดงที่ต้องเรียกว่าคัดกันมาจริงๆ ครับ เริ่มจาก John Turturro ในบทเฮอร์เบิร์ต สแตมเปอร์ ชายชนชั้นแรงงานที่ชอบหุนหันและทำอะไรตามอารมณ์ Turturro แสดงได้เฉียบขาดสุดๆ ตามด้วย Rob Morrow ในบทดิ๊ก กู๊ดวิน เจ้าหน้าที่รัฐผู้มีดีกรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากนิติศาสตร์ฮาวาร์ด มาดให้สุดๆ ครับ น้ำเสียงนี่นุ่มแต่พร้อมที่จะเชือดฝ่ายตรงข้ามตลอด และยังเป็นคนประเภทกัดไม่มีวันปล่อยอีกด้วย เป็นบุคคลประเภทที่มีค่อนข้างมากในยุค 50 ของอเมริกาครับ ประมาณว่าศรัมธาในระบบและความมั่นคงของชาติตนเองและจะไม่ยอมให้มีอะไรมาสั่น คลอดความถูกต้องเป็นอันขาด

คนต่อมาก็ Ralph Fiennes กับบทชาร์ลส แวน ดอเรน ซึ่งดูเหมาะสุดๆ เพราะพี่ Ralph แกดูดี มีชาติตระกูลมากๆ (แทบจะตรงข้ามกับเฮอร์เบิร์ต สแตมเปอร์โดยสิ้นเชิง) เป็นคนมีการศึกษาแต่ก็ยังอ่อนต่อโลกครับ ยังโดนกิเลสและชื่อเสียงลาภยศครอบงำได้ตลอดเวลา

ดาราหลักๆ ทั้งสามคนแสดงได้ชนิดที่ไม่เหมือนว่าแสดงเลยแม้แต่น้อยครับ ดูสมจริงและน่าเชื่ออย่างมาก ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะทั้งสามคนเป็นดารายอดฝีมืออยู่แล้วนี่ครับ แล้วพวกเขายังทำการบ้านก่อนมาเล่นด้วยนะครับ อย่างพี่ Ralph เนี่ย แกไปหาชาร์ลส แวน ดอเรนตัวจริงเลย ซึ่งตอนแรกชาร์ลสเขาไม่ค่อยให้ความร่วมมือหรอกนะครับ แกไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับหนังเลยแหละ แต่พี่ Ralph แกลงทุนขับรถตรงดิ่งไปคอนเนตติกัต ไปยังบ้านที่ชาร์ลสอาศัยอยู่ แล้วพอถึงหน้าบ้านก็เจอชาร์ลสกำลังนั่งอยู่หน้าบ้านพอดี พี่ Ralph แกเลยแกล้งทำเป็นรถเสียแล้วก็เข้าไปคุยกับชาร์สซะเลย คิดดูครับลงทุนขนาดไหน

นอกนั้นดาราคนอื่นก็เก่งๆ ทั้งนั้นครับ Paul Scofield เจ้าของรางวัลออสการ์ดารานำชายยอดเยี่ยมจาก A Man For All Seasons มารับบท มาร์ค เวน ดอเรน พ่อของชาร์ลส ซึ่งเขาก็แสดงได้อย่างอบอุ่นครับ ดูเป็นพ่อที่น่ารักและเข้มงวดไปในตัว ซึ่งบทที่ว่านี่ก็ส่งเขาไปเข้าชิงออสการ์เช่นกันครับ, David Paymer และ Hank Azaria รับบทเป็นคู่หูผู้จัดรายการ 21 แดน เอนไรต์ และ อัลเบิร์ต ฟรี๊ดแมน ซึ่งก็อยู่เบื้องหลังการเตี๊ยมทั้งหลายด้วย และ Mira Sorvino สาวสวยเจ้าของออสการ์จาก Mighty Aphrodite รับบท ซานดร้า กู๊ดวิน ภรรยาของดิ๊ก ซึ่งเธอเองก็มีความขัดแย้งกับสามีในเรื่องคดีนี้ตลอดครับ เช่นการยืนยันที่จะให้สามีเล่นงานกับตัวบุคคล แต่สามีเธออยากเล่นงานที่ตัวรายการมากกว่าอะไรแบบนี้เป็นต้น

นอกจากนี้งานโปรดักชั่น ยังย้อนยุคได้สมกับปี 50 เอามากๆ ครับ บรรยากาศการแต่งกายและรูปแบบการจัดรายการ ทุกส่วนลงตัวมากๆ ดนตรีจากฝีมือของ Mark Isham ก็ย้อนยุคไม่แพ้กัน หนังเลยได้อารมณ์สุดๆ ครับ และที่ต้องชมเลยก็หนีไม่พ้น Redford ในงานกำกับชิ้นเยี่ยมเรื่องนี้ เขาเป็นดาราไม่กี่คนที่สามารถทำงานผู้กำกับได้อย่างยอดเยี่ยมขนาดนี้นะครับ จากเรื่องนี้เขาได้เข้าชิงออสการ์ในฐานะผู้กำกับด้วย และหนังก็ได้เข้าชิงหนังยอดเยี่ยมเช่นกัน (แต่หนังของพี่ท่านมักไม่ทำเงิน ครับ ชอบโกยกล่องมากกว่า)

หนังเล่นเรื่องง่ายๆ ซึ่งก็คือความโลภของคนน่ะครับ โลภตรงนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงินนะฮะ ยังหมายถึงเรื่องชื่อเสียง ความมีหน้ามีตา ความโด่งดัง อะไรเหล่านี้ล้วนเป็นที่ต้องการของผู้คนมากมาย แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถควบคุมความอยากเหล่านี้ให้อยู่ในขอบข่ายที่เหมาะสมได้ไหม

อย่างชาร์ลสนั้น แม้จะมีหน้ามีตา มีฐานะอยู่แล้ว รูปยังหล่ออีกด้วย แต่สุดท้ายเมื่อมีคนมาเสนอทางรวยและชื่อเสียงให้ เขาก็ทนความยั่วยวนนั่นไม่ไ่ด้ครับ อันนี้เห็นได้ตรงๆ เลยว่า การศึกษามันให้ความรู้กับเราได้สูงก็จริง แต่มันก็ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะขัดเกลาเราให้ปราศจากกิเลสในใจ ซึ่งเรื่องแบบนี้ตัวเราเองนั่นแหละครับที่ต้องหาทางฝึกฝนจิตใจให้แข็งแกร่ง

ไม่ต้องพร่ำบอกใครว่าเราเป็นคนดีหรอกครับ แต่ขอให้เราทำตัวดี ทำตัวให้เหมาะสมก็พอ

ตัวหนังได้ทีมนักแสดงยอดฝีมือ และบทที่น่าติดตาม ผลออกมาเลยเป็นหนังดีๆ อีกเรื่องน่ะครับ แต่คงหาดูยากครับ เพราะหนังมันทำเงินไม่มาก ทำไปแค่ $24 ล้าน ในขณะที่ทุนสร้างปาเข้าไป $31 ล้าน – ก็ได้แต่หวังว่าจะมีสตรีมมิ่งสักเจ้าเอามาให้ทุกท่านได้ชมกัน

ยังไงก็ตามนะครับ ขอฝากไว้นิดนึง อันนี้ความชอบส่วนตัวนะครับ ฉบับพากย์ไทยต้นฉบับดั้งเดิมครับ สมัย VDO เป็นการพากย์ที่ทรงพลังอีกครั้งของทีมพากย์ CVD ไม่ว่าจะคุณจักรกฤษณ์ คุณบัญชา คุณปิยะ รวมพลังกันขับให้ตัวละครทั้งสามเด่นขึ้นแบบสุดๆ ไม่มีใครข่มใครลงครับ ต่างคนต่างเสริมให้กันและกัน เป็นหนังที่พากย์ได้สุดยอดมากๆ อีกเรื่องครับ

สามดาวครึ่งครับ

(8.5/10)

Untitled03851