Action

War of the Worlds (2005) วอร์ ออฟ เดอะ เวิร์ลส อภิมหาสงครามล้างโลก

ww_00

เรื่องราวก็ว่าด้วยเหตุการณ์มนุษย์ต่างดาวมาบุกโลกน่ะครับ หนังก็โฟกัสมาที่เรื่องของเรย์ เฟอร์เรียร์ (Tom Cruise) คนงานท่าเรือที่ต้องรับหน้าที่ดูแลลูกในช่วงสุดสัปดาห์ เพราะภรรยาเก่าของเขา (Miranda Otto) จะไปทำธุระกับแฟนใหม่ ซึ่งก็แน่ล่ะครับความสัมพันธ์ระหว่างเรย์ กับ ลูกทั้งสองซึ่งก็มี ร็อบบี้ (Justin Chatwin) และ เรเชล (Dakota Fanning) ก็ค่อนข้างจะระหองระแหงสุดๆ แต่แล้วไม่นานเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเกิดเมฆดำปกคลุมเมือง ตามด้วยฟ้าผ่า และพื้นถนนก็ค่อยๆ ยุบตัวลง และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการทำลายล้างโลกของพวกมันครับ ซึ่งเรย์ก็เลยต้องพาลูกทั้งสองหนีเพื่อชีวิตรอด แล้วหนังจะเป็นไงต่อไปก็ลองไปดูกันต่อแล้วกันครับ

เอาล่ะ เมื่อผมดูจบ ยอมรับเลยว่า เหนื่อยมากครับ หนังบ้าอะไรก็ไม่รู้ คือช่วง 15 นาทีแรกมันก็จะเรื่อยๆ แต่ก็โอเคนะครับ เป็นการปูพื้นตัวละครได้ดีพอควร และพอนาทีที่ 16 เท่านั้นแหละ เรื่องหายนะสารพัดแบบก็ถูกใส่ลงมาแบบไม่ยั้ง แทบไม่มีเวลาให้พักหายใจเลยอ้ะคับ ความลุ้นนี่ใส่เข้ามาตลอด และฉากการทำลายล้างก็ต้องบอกว่าเฉียบมาก คือมันก็ไม่เชิงว่าแปลกใหม่นะครับ ผมว่าคอหนังหายนะน่าจะคุ้นเคยกันมาบ้างแหละ พวกตึกถล่ม แผ่นดินแยกไรเงี้ย แต่เฮีย Steven Spielberg แกสามารถนำเสนอออกมาได้อย่างน่าสนใจและตื่นเต้นมาก ยิ่งไอ้ตอนเกิดเรื่องครั้งแรกนั่นมันฉับพลันแบบไม่ทันตั้งตัวจริงๆ ครับ แล้วเรื่องมันก็เกิดต่อๆๆๆ กัน คือถ้าผมไปอยู่ในเหตุการณ์จริงคงทำอะไรไม่ถูกแล้วล่ะคับ และหนังก็สามารถทำให้คนดูรู้สึกเหมือนอยู่ร่วมในความหายนะนั้นด้วย

ผมเลยเหนื่อยไงคับ

ดังนั้นถ้าพูดถึงความเป็นหนังหายนะซักเรื่อง ผมว่าเรื่องนี้เด็ดมากครับ Effect เจ๋งครับ ไอ้พวกฉากตึกพังแผ่นดินแยก หรือฉากการทำลายล้างต่างๆ ทั้งสมจริงและน่ากลัว มุมกล้องก็จับภาพได้ดีมาก อย่างไอ้ฉากแผ่นดินค่อยๆ แตกเป็นริ้วๆ จนไปสุดที่ตึกแล้วตึกก็พังนี่ ได้อารมณ์จริงๆ ครับ และดนตรีของ John Williams คอมโพเซอร์คู่บุญของเฮีย Spielberg ก็เด่นไม่ใช่น้อย โทนมันค่อนข้างสดครับ ผมว่าแนวมันยังคงเป็นสไตล์ลุง John แกนั่นแหละ แต่โทนมันค่อนข้างหม่นและตื่นเต้น ส่วนมากลุงแกจะทำดนตรีแบบตื่นเต้นเชิงฮึกเหิมใช่มั้ยอะ อย่างใน Star Wars เงี้ย แต่กับเรื่องนี้ ดนตรีมันตื่นเต้นแบบสิ้นหวังอ้ะคับ มันให้อารมณ์เช่นนั้นจริงๆ

นั่นคืออะไรที่ผมชอบครับ อีกอย่างก็คือการแสดงของหนู Dakota Fanning ซึ่งบางคนอาจบอกว่าทำไมแกเอาแต่ร้องอยู่ได้ อ้าว ก็เด็กอ้ะคับ ไม่ทราบว่าปกติไม่เคยเห็นเด็กร้องกันเลยเรอะ เวลาเจอเรื่องแบบนี้เด็กเขาก็ต้องตกใจนะสิอะ จะให้หัวเราะมั้ยล่ะนั่น ในเรื่องหนูแกเจอเรื่องบ้าๆ ตลอด ขนาดผู้ใหญ่อย่างผมยังเกร็งอ้ะ เด็กก็ต้องมีสะดุ้งอยู่แล้วล่ะ และผมว่าตอนที่เธอร้องแสดงความตกใจหรือกลัวนี่ช่วยเพิ่มความสับสนและกดดัน ให้หนังได้มากเลยครับ ฉากลุ้นๆ หลายอันนี่ หนู Dakota แกมีส่วนช่วย Build มากทีเดียว

เอาล่ะนั่นคือที่ผมเห็นว่าเจ๋งครับ ต่อมาก็คือที่มันรู้สึกสะดุดล่ะ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตัวพี่ Tom Cruise นี่แหละครับ

ผมไม่ได้มีอคติครับ ผมไม่ได้เอาน้ำใส่ไมค์ไปฉีดหน้าแกด้วย (ฮา) แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ คือบทนี้มันเป็นบทพ่อครับ โอเค เป็นพ่อประเภทไม่ค่อยรับผิดชอบเท่าไหร่ ซึ่งสไตล์นี้พี่ Tom แกพอไหว เพราะเขาดูเหมือนเด็กไม่รู้จักโตมาแต่ไหนแต่ไร แต่มันเริ่มแหม่งๆ ก็ตรงที่หน้าแกไม่แก่อ้ะ คือเขาดูเยาว์วัยเหลือเกิน ไม่ทราบมีสูตรรักษาความเยาว์ได้อย่างไรอ้ะนะครับ แต่ดูไม่แก่อ้ะ (คล้ายๆ Michael J. Fox แต่ไม่หนักเท่า) แล้วทีนี้ … โอเคถ้าเขามีลูกสาวแค่หนูเรเชลคนเดียวผมก็รับได้ แต่นี่ดันมีลูกชายอย่างร็อบบี้เข้าไปอีกดอก นี่แหละที่ผมว่ามันไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่

คือคู่นี้มันออกจะเหมือน พี่น้องมากกว่าพ่อลูกอ้ะคับ หน้าตามันห่างอายุกันไม่มากเท่าไหร่ และอย่างที่บอกว่าพี่ Tom แกเด็กไม่รู้จักโตอยู่แล้ว มันเลยไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ว่านี่จะเป็นพ่อลูกกันจริงๆ ทีนี้ทำให้เรื่องราวทางอารมณ์มันไม่ค่อยไป อย่างฉากที่พี่ท่านดุลูกชาย มันก็ไม่คล้อยตามเท่าไหร่อ้ะคับ

่ก็ไม่เถียงว่าในเรื่อง พี่ Tom แกเค้นฝีมือไม่ใช่น้อย แต่ผมว่าเขาดูไม่เหมาะกับบทเท่าที่ควร มันน่าจะเลือกเอาดาราที่สามารถทำให้คนดูรู้สึกอบอุ่นมากกว่านี้ได้ นึกภาพออกมั้ยครับ แม้ว่าหมอนี่จะเป็นพ่อที่ไม่เอาถ่านนัก แต่พอฉากที่ต้องมีอารมณ์ห่วงใยลูก มันก็น่าจะทำให้เรารู้สึก Warm ขึ้นได้ (อย่างพี่ Mel Gibson ใน Signs นั่นแหละใช่เลยครับ)

อีกอย่างคือตัว ละครนี้น่าจะมีพัฒนาการอะไรซักอย่าง แต่มันก็ไม่ชัดอ้ะคับ ดูจบแล้วไม่ยักกะสัมผัสเท่าไหร่ว่าพี่เรย์แกได้เรียนรู้หรือมีความเปลี่ยน แปลงบ้างหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ก็น่าเสียดายอ้ะคับ เพราะจะว่าไป นี่เป็นหนังของเฮีย Spielberg นะ และปมเกี่ยวกับพ่อ คือสิ่งที่เป็นเครื่องหมายการค้าของพี่ท่านอยู่แล้ว และในเรื่องมันก็เน้นเรื่องความสัมพันธ์พ่อลูกได้โดยตรงเลยด้วย แต่กลับยังทำได้ไม่ถึงเท่าไหร่

สำหรับผมนี่เป็นจุดด้อยอันเดียวอ้ะ คับ ที่เด่นสุดๆ คือถ้าตรงนี้คนเล่นเป็นเรย์สามารถทำได้เฉียบและทำให้คนดูคล้อยตามได้มากกว่า นี้ มันต้องสุดยอดยิ่งขึ้นแน่ๆ เพราะเท่าที่เป็นนี้ การเดินเรื่องดี ฉากดี ทุกอย่างดีหมด ความตื่นเต้นก็ยอดมากๆ จะขาดก็ตรงพลังตัวละคร (พี่ Tom) นี่แหละครับที่ไม่จัดจ้านเท่าที่ควร

คนที่ชอบพี่ Tom อย่าโกรธผมนะครับ ผมแค่พูดตามที่คิดนะ ไม่เห็นด้วยไม่ว่าครับ ผมต้องเชื่อผมก็ได้ ผมอาจจะบ้าไปเองก็ได้นี่หน่าจริงมั้ยล่ะครับ

อีกจุดนึง อันนี้ Spoil ครับ ใครไม่อยากรู้ข้ามไปก่อนเร็วเข้า

***************************************************************

อันนี้มันเป็นความรู้สึกส่วนตัวนะครับ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจก็ได้ครับ เพราะผมอยากระบายและบันทึกไว้เท่านั้นเอง

บทสรุปของหนังฉบับนี้มันเหมือนกับหนังฉบับก่อนเป๊ะเลยครับ ก็เข้าใจล่ะว่านี่สร้างจากนิยายของ H.G. Wells และการไปดัดแปลงมันก็ไม่สมควรนัก แต่มันก็เป็นทุกข์ประการหนึ่งของคนทีรู้ตอนจบนิยายมาแล้วน่ะครับ มันน่าจะมีการดัดแปลงบ้าง ไหนๆ ก็ไหนๆ น่าจะรีอิมเมจินบ้าง เพื่อความแปลกใหม่

จริงๆ เป็นเพราะผมหวังมากเกินไปด้วยนั่นแหละฮะ เพราะฉากต้นๆ ตอนที่พื้นถนนเริ่มแตกนั้น อาคารที่พังลงไปนั่นก็คือ โบสถ์ ซึ่งในหนังปี 1953 นั้น โบสถ์มันคือปราการของเหล่ามนุษย์ในตอนท้ายเรื่องครับ ดังนั้นพอต้นเรื่องนี่เล่นพังโบสถ์ซะยับไม่มีชิ้นดี ผมก็อดคิดไม่ได้ว่ามันน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในตอนจบบ้าง แต่ก็เปล่าครับ

อีกอย่างคือ ผมว่าไอ้จบแบบนี้น่ะพอรับได้อย่างน้อยก็ตรงตามเจตนาของนิยาย แต่อย่างน้อยทำให้มันตื่นเต้นหน่อยไม่ได้เหรอครับ อย่างฉบับเก่ามันมีลุ้นนะครับ ฉากสุดท้ายก่อนที่มนุษย์ต่างดาวจะพ่ายนั่น มันมีลุ้นประมาณว่าพระเอกนางเอกโดนแน่ละโว้ย ตายแหงมๆ แล้วก็ … นั่นแหละ ซึ่งตอนดูฉบับนั้นนี่ลุ้นมากเลยครับว่าจะรอดไปได้อย่างไร แต่กับฉบับนี้ผมว่ามันง่ายไปน่ะ แม้มนุษย์ต่างดาวจะพ่ายแบบเดียวกัน แต่อารมณ์ตอนเฉลยว่าพ่ายอย่างไรนั้น มันห่างชั้นกันไม่น้อยครับ ณ. ทีนี้คือฉบับเก่าทำได้ตื่นเต้นกว่าและน่าจดจำกว่า (เฉพาะตอนที่มนุษย์ต่างดาวแพ้นะครับ นอกนั้นหากพูดถึงความตื่นเต้นในช่วงต้นๆ แล้ว ฉบับใหม่นี่ถึงกว่ามากๆ เลย)

***************************************************************

ก็นั่นแหละครับที่ผมคิด หนังดีตลอดครับ แต่ถ้าจะพร่องก็ตรงบทนำของพี่ Tom และแม้จะยังคงยึดบทสรุปที่ดีตามนิยาย แต่น่าจะเพิ่มความเร้าใจอีกซะหน่อย เพื่อความตื่นเต้นอย่างต่อเนื่องน่ะนะครับ

สรุปว่าเฮีย Spielberg ทำเกือบสำเร็จครับ มีแผ่วตอนท้ายไปหน่อย แต่จุดอื่นดีครับ ยิ่งเรื่องเกี่ยวกับความเห็นแก่ตัวของมนุษย์เนี่ย ผมว่าดีทีเดียว ตอนแรกก็หวั่นๆ อยู่ล่ะครับ เพราะเฮียแกชอบมองโลกแง่ดีตลอดเวลา เลยไม่รู้ว่าพี่แกจะจับประเด็นนี้มาหรือไม่ แต่ปรากฎว่าแกก็ทำได้ค่อนข้างดีครับ แต่ก็อดเอาแง่มุมการมองโลกแง่ดีมาใส่ไม่ได้เหมือนเคย แต่ก็ดีครับ ไม่ได้ขัดต่อหนังแต่อย่างใด จริงๆ มันเพิ่มความลึกให้กับหนังอีกด้วยล่ะ

แม้ บทสรุปมันจะพร่องความเร้าใจไปบ้าง แต่สาระในตอนจบยังครบครับ (สาระเดียวกับฉบับก่อนน่ะแหละ) นั่นคือ โลกของเราเนี่ย มันมีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีกมากมายครับ ล้วนต้องพึ่งพาอาศัยกัน ดังนั้นก็อย่าไปเบียดเบียนอะไรกันมากมายนักเลยครับ … อย่าว่าแต่เบียดเบียนสัตว์เลย เอาแค่เพื่อนมนุษย์นี่แหละ อยู่กันอย่างดีๆ ไม่เบียดเบียนนี่มันน่าจะดีจริงมั้ยล่ะครับ ลดความเห็นแก่ตัวมาเป็นเห็นแก่กันทั้งคนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ถ้าคิดแบบนี้ได้คงดีอะคับ (แต่มันยากจิงๆ)

สรุปนะครับ นี่เป็นหนังแนวหายนะแบบมนุษย์ต่างดาวบุกโลกที่ทำได้ตื่นเต้นมากเรื่องหนึ่ง ถ้าชอบแนวนี้ล่ะก็ไปดูได้เลยครับ ผมกับเพื่อนที่ไปดูนี่นั่งเกร็งกัน ตอนออกจากโรงนี่ซอมบี้มาแต่ไกลเลยครับ โยกไปเยกมาจนพนักงานมองตามกลัวจะเป็นอะไรในโรงหนังเขา แต่อย่าไปหวังตอนจบมากนักก็แล้วกันนะครับ (มันจบด้วยอารมณ์ไซไฟครับ ไม่ได้จบด้วยความมันส์ ซึ่งหลายๆ ท่านอาจไม่ชอบใจนัก) และความลึกของตัวละครก็ยังไม่เต็มที่ด้วย

ก็สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ

Star22(7/10)