Drama

The Terminal (2004) เดอะ เทอร์มินัล … ด้วยรักและมิตรภาพ

1376781270-thetermina-o

The Terminal หนังที่เล็งว่าจะต้องดูให้ได้ตั้งแต่เข้าโรง เพราะเป็นงานกำกับของ Steven Spielberg ที่ผมคิดเสมอครับว่าหนังของเขามีจุดที่ผมชอบอย่างหนึ่ง นั่นคือไม่ว่าจะเป็นหนังแนวไหนก็ตาม หนังของเขามักเจือไว้ด้วยความหวัง หรือไม่ก็ลงเอยด้วยการให้ความหวัง ความรู้สึกดีๆ กับคนดูอยู่เสมอ

เป็นเรื่องของวิคเตอร์ นาวอร์สกี้ (Tom Hanks) ชายต่างชาติที่เดินทางมาถึงสนามบินเจเอฟเค ประเทศอเมริกา แต่ประจวบเหมาะครับ ในนาทีทีเขาก้าวเข้ามายังสหรัฐก็ดันมีสงครามเกิดที่ประเทศของเขาพอดี ทำให้สถานภาพความเป็นพลเมืองของเขาเกิดปัญหาครับ นั่นคือพาสปอร์ตของเขาถูกยกเลิก ทำให้เขาไม่สามารถเดินเข้าไปในอเมริกาได้ และขณะเดียวกันเขาจะนั่งเครื่องกลับประเทศไม่ได้ เพราะพาสปอร์ตเขาหมดสภาพไปแล้วครับ เมื่อบ้านเมืองเขาเกิดเรื่อง สิทธิ์ในพาสปอร์ตก็เป็นเพียงกระดาษเท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้วิคเตอร์จะทำอะไรไปไหนก็ไม่ได้ นอกจากต้องนั่งๆ นอนๆ อยู่ในสนามบิน แล้วนั่นแหละครับคือเรื่องราวทั้งหมด ชายคนหนึ่งต้องใช้ชีวิตอยู่ในสนามบิน อันทำให้เขาได้พบทั้งมิตรและคนไม่ชอบหน้า ก็ต้องมาดูกันต่อไปล่ะครับว่าบทลงเอยของเขาจะเป็นอย่างไร

หลายคนดูเรื่องนี้แล้วชอบ ในขณะที่หลายคนดูแล้วเฉย อันนี้สุดแท้แต่ครับ คนเราชอบต่างกันได้อยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนผมก็ต้องบอกว่าชอบโคตร เพราะนี่แหละ หนัง Steven Spielberg ขนานแท้… คุณอาตีตั๋วเคยบอกไว้ครับว่า จะกินอาหารให้อร่อยต้องรู้ว่าใครปรุง เช่นเดียวกันครับจะดูหนังให้สนุกก็ต้องรู้ว่าใครกำกับ

อย่างที่บอกครับว่านี่เป็นงาน Spielberg ฉายาของเฮียแกก็คือปีเตอร์แพนแห่ง Hollywood อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่หนังมันไม่ได้หนัก ไม่ได้เครียดเข้มแบบจัดๆ เพราะอย่างที่ผมบอกตั้งแต่ต้นครับ หนังพี่แกเน้นการมองโลกในแง่ดี มองโลกอย่างมีความหวัง เรื่องที่เกิดกับวิคเตอร์นั้นก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่ก็จะไม่ร้ายจนเกินไป บางครั้งออกจะสบายๆ ด้วยซ้ำ ดังนั้นใครกะจะได้ดูหนังชีวิตหนักๆ อึ้งๆ เครียดๆ ล่ะก็เตรียมผิดหวังล่วงหน้าได้เลยครับ เพราะไม่ใช่เรื่องนี้หรอก

แต่ถ้าใครชอบโทนหนังแบบสบายๆ ไม่เครียดกับชีวิต ดูแล้วให้อารมณ์ Feel Good เรื่องนี้ก็น่าจะไปนั่งอยู่ในอ้อมอกอ้อมใจของท่านได้ไม่ยากครับ

ส่วนที่ต้องชมมากๆ คือการแสดงของ พี่ Tom Hanks ที่ถ้าไม่ใช่พี่ท่าน หนังอาจจะไม่ดีขนาดนี้ ฝีมือการแสดงนี่สุดยอดระดับเกินบรรยายครับ เล่นบทไหนได้หมด ซ้ำยังลื่นไหลตลอดด้วย อย่างฉากที่วิคเตอร์ต้องมารู้ว่าเกิดสงครามในบ้านเมืองเขา แล้วน้ำตาก็เริ่มไหลออกมานี่สุดยอดอย่างแรงครับ ดูแล้วนี่อดอินกับเขาไม่ได้เหมือนกัน มันทำให้เราเห็นใจชายคนนี้ขึ้นมาในบัดดลเลยทีเดียว

url

ดาราคนอื่นก็ไม่มีปัญหาครับ แสดงได้ดีทุกคน โดยเฉพาะพี่ Stanley Tucci ที่มาเล่นเป็นแฟรงค์ ดิ๊กสัน แม้จะดูร้ายจนออกนอกหน้าไปหน่อยก็ตาม แต่การกระทำของพี่แกก็สะท้อนคนจำพวกที่ชอบอ้างกฎอ้างระเบียบแบบสุดโต่ง ซึ่งจริงๆ แล้วกฎระเบียบคือแนวทางที่ควรปฏิบัติครับ แต่ไม่ใช่ประกาศิตที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เราอาจยืดหยุ่นบ้างในบางช่วงบางขณะ ขณะเดียวกันบทพี่เขาก็สะท้อนถึงการเอาตัวรอด ประมาณว่าเอาให้ฉันรอด เอาฉันไม่เกิดปัญหาก็พอ แต่คนอื่นจะลำบากมากน้อยแค่ไหนก็เรื่องของเขา อะไรประมาณนี้

นี่แหละ ดูหนังให้สนุกมันต้องรู้ว่าใครทำ อะไรก็ตามในหนังพี่ Spielberg ที่มันดูสุดโต่งพิกลหรือย้ำบ่อยๆ จนผิดสังเกต ก็ขอให้รู้ไว้ครับว่าผุ้กำกับเขาพยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับเราแล้วนั่น นอกจากนี้เรื่องเกี่ยวกับพ่อๆ ลูกๆ อันเป็นเครื่องหมายการค้าอย่างหนึ่งของพี่เขาก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม

สรุปว่าหนังดูสบายครับ ไม่เครียด ดูแล้วมีความหวังชีวิตขึ้นเยอะ ตัวหนังถือว่าออกมาดีและโทนของฉากต่างๆ ไปในทิศทางเดียวกัน มีความกลมกล่อมกลมกลืนในระดับที่พอเหมาะ อีกทั้งการเดินเรื่อง นักแสดง ดนตรี และบทสรุปก็ถือว่ากลมกล่อมไม่ค่อยมีรสแปร่งปร่ามาให้แหม่งลิ้น

สาระดีๆ มีอยู่ไม่น้อยครับ ไม่ว่าจะเรื่องการใช้ชีวิต การรู้จักให้ความหวังตัวเองบ้าง การยอมถอยในบางครั้ง และการยืดหยัดไม่ถอยในบางโอกาส อย่างที่บอกน่ะแหละ หนังพี่ Spielberg นั้นไม่เคยมีคำว่าโล่งโถง ล้วนมีอะไรให้เก็บไปคิด จะต่างก็แค่มีมากหรือมีน้อยเท่านั้นเอง – อันที่ชอบมากๆ ในเรื่องนี้คือเรื่องตราประทับที่มีโอกาส 50/50 นี่แหละครับ เป็นการมองโลกด้านบวกของวิคเตอร์ที่น่าสนใจทีเดียว

ตัวหนังถือว่าประสบความสำเร็จในระดับกลางๆ ครับ ลงทุนราว $60 ล้าน แล้วก็ทำเงินทั่วโลกไป $219 ล้าน ถือว่าโอเคครับ เพียงแต่ตอนทำเงินในอเมริกาอาจไม่มากเท่าไรเท่านั้นแหละ (ทำในอเมริกาไป $77 ล้าน)

เอาเป็นว่าถ้าชอบหนังดราม่ามีความหวัง ดูแล้วให้พลัง Feel Good ก็ดูเรื่องนี้ได้เลยครับ

สามดาวครับ

(8/10)