รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Mystic Pizza (1988) สูตรรักพิชซ่า

Untitled07614

นี่ก็หนังแนวที่ผมโปรดอีกแล้วครับ กับหนังดราม่าที่บอกเล่าเรื่องราวช่วงหนึ่งของชีวิตคน ซึ่งเรื่องนี้ตัวเอกคือ 3 สาวที่ทำงานในร้านมิสติค พิซซ่า อันประกอบไปด้วย แคท (Annabeth Gish) ที่รับจ็อบหลายงาน หนึ่งในนั้นก็คือพี่เลี้ยงเด็กซึ่งทำให้เธอได้เจอกับทิม (William R. Moses) คุณพ่อลูกหนึ่งที่ภรรยาไปทำงานที่อื่น และเมื่อเวลาผ่านไป แคทก็เริ่มมีความรู้สึกดีๆ ให้กับทิมมากขึ้นตามลำดับ

ส่วนเดซี่ (Julia Roberts) ก็เป็นสาวน้อยรักสนุกที่มีโอกาสได้รู้จักกับชาร์ลี (Adam Storke) ลูกคนรวยที่ดูเหมือนจะมีเหตุให้เปลี่ยนคู่ควงอยู่ร่ำไป

และ โจโจ (Lili Taylor) ที่มีแฟนหนุ่มนามว่า บิลล์ (Vincent D’Onofrio) ซึ่งบิลล์ก็คะยั้นคะยออยากแต่งงานกับโจโจใจจะขาด แต่ทว่าโจโจกลับยังรู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อม แล้วก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงจนบิลล์เองก็ชักจะเริ่มมีคำถามว่า “หรือจริงๆ เธอจะไม่ได้รักเขา?”

เรื่องนี้ได้ยินชื่อมานานครับ ถือเป็นหนังแจ้งเกิดเรื่องต้นๆ ของ Roberts ก็ว่าได้ ครั้นพอได้ดูก็ไร้ข้อกังขาเลยครับ เรื่องนี้ Roberts ฉายเสน่ห์แรงมาก ดูเด่น น่ารัก สดใส และมีความเซ็กซี่อีกต่างหาก ในขณะที่ Gish และ Taylor ก็เล่นดีไม่น้อยหน้า แต่ละคนถือว่าตีบทตัวเองได้แตก และถือว่าเป็นพลังสำคัญที่ทำให้หนังน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ

ผมชอบหนังมากกว่าที่คิดครับ แต่ละองค์ประกอบถือว่ากลมกล่อมพอเหมาะ คือมันอาจจะไม่ถึงกับสุดยอดไร้เทียมทานน่ะนะครับ แต่ก็อยู่ในข่ายที่ผมพร้อมจะแนะนำให้ใครต่อใครได้ลองลิ้มสักครั้ง ดาราดี การเล่าเรื่องก็ดี เนื้อหาหรือพล็อตอาจจะพอเดาได้ แต่การนำเสนอมันกำลังดีน่ะครับ รสชาติกำลังเหมาะและเสิร์ฟแบบพอดีคำ มีครบรสทั้งดราม่า, โรแมนติก, เบาสมอง มีให้ทั้งความซึ้งกินใจ และคราบน้ำตาของความผิดหวัง-สมหวัง

คนที่ต้องขอชมก็คือ Amy Holden Jones ที่เขียนบทหนังเรื่องนี้ขึ้น เธอได้แรงบันดาลใจระหว่างกำลังเที่ยวพักผ่อนในเมืองมิสติค รัฐคอนเนคติคัต ซึ่งที่นั่นมีร้านพิซซ่าที่ชื่อ Mystic Pizza จริงๆ ครับ แล้วเธอก็ได้ไอเดียเรื่องราวทั้งหมดจากการไปเที่ยวครั้งนั้น ซึ่งก็ต้องยอมรับครับว่าบทที่เธอเขียน (ก่อนจะได้รับการเกลาเพิ่มโดย Perry Howze, Randy Howze และ Alfred Uhry) สามารถสร้างตัวละครขึ้นได้อย่างน่าสนใจ อีกทั้งเรื่องราวแวดล้อมต่างๆ ก็ทำให้เราเชื่อเป็นตุเป็นตะราวกับพวกเธอมีตัวตนจริงๆ น่ะครับ

Untitled07615

ส่วนคนกำกับก็คือ Donald Petrie ซึ่งกำกับหนังใหญ่เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกครับ (ก่อนหน้านั้นเขากำกับแต่ซีรี่ส์กับหนังทีวีครับ) ซึ่งก็ถือเป็นการแจ้งเกิดที่น่าจดจำอยู่ การเล่าเรื่องพอเหมาะ จังหวะจะโคนในการชงจุดขำหรือจุดเศร้าก็ถือว่ากำลังดี อย่างที่บอกนั่นแหละครับ อาจไม่ได้สุดยอด แต่ก็ถือว่าเวิร์กทีเดียวสำหรับงานนี้

และในเรื่องนี้เรายังจะได้เห็น Matt Damon ในวัยละอ่อนโผล่มาด้วย ซึ่งบทที่เขาเล่นนี่เขาไปแคสพร้อมกับเพื่อนซี้อย่าง Ben Affleck ครับ แต่ในที่สุด Damon ก็ได้บทไป

ตัวหนังถือว่าประสบความสำเร็จพอประมาณครับ ลงทุนราว $6 ล้าน แล้วก็ทำเงินไปประมาณ $12.7 ล้าน ก็ถือว่าใช้ได้สำหรับหนังดราม่าเบาสมองทำนองนี้

และจริงๆ หนังเคยมีแผนที่จะมีภาคต่อด้วยครับ ในชื่อว่า Return to Mystic Pizza โดยได้ Jenny Tripp กับ Albert Innaurato มาเขียนบทให้ แต่ในที่สุดโปรเจคท์นั้นก็ไม่เคยเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

อยากบอกว่าผมมีความสุขตลอดการรับชมครับ ทุกอย่างมันเข้าทาง ดูแล้วมันเหมือนเราได้อ่านเรื่องสั้นต่อๆ กัน ได้รับรู้เรื่องราวของ 3 สาว ทั้งเรื่องสุขเรื่องเศร้า ทั้งวันที่เปี่ยมรอยยิ้มและน้ำตานองหน้า สำหรับผมแล้วหนังแนวนี้มันทำให้อินน่ะครับ อินเมื่อได้รับรู้เรื่องราวของพวกเธอ ที่ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องทำนองนี้ หรือใครบางคนที่กำลังเจอเรื่องแบบนี้อยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งของโลกจริงๆ ก็ได้ – หนังแนวนี้มันทำให้ผมสื่อสัมผัสได้ถึงเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ น่ะครับ และมันเป็นสิ่งที่มีความหมายสำหรับผมจริงๆ

เป็นอีกเรื่องที่เชียร์ให้ดูครับ

สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ

Star22

(7.5/10)