รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Do the Right Thing (1989) ทำถูกเข้าไว้ สบายโก๋

Untitled07374

ว่าตามจริง Do the Right Thing เป็นหนังที่มีความขบขันครับ แต่ก็บอกเลยว่าไม่เหมาะกับการดูเพื่อความบันเทิงหรือคลายเครียด เพราะความขบขันที่ว่านั้นเน้นไปที่การสะท้อนจิกกัดความเป็นมนุษย์มากกว่าจะให้ตลกโปกฮา

หลักๆ เลยคือหนังสะท้อนให้เห็นถึงผลลัพธ์ของการใช้ความรุนแรงครับ ซึ่งในที่สุดก็จะจบไม่สวย เหลือไว้แต่ความสูญเสียและความเกลียดชัง

หนังฉายภาพให้เห็นชุมชนแห่งหนึ่งที่มีคนหลากหลายเชื้อชาติอยู่ร่วมกัน ทั้งคนผิวดำ คนละติน คนอิตาเลี่ยน คนเกาหลี แล้วก็มีตำรวจเป็นคนผิวขาว ตัวละครหลักคือ ซัล (Danny Aiello) คนอิตาเลี่ยนที่มาเปิดร้านพิซซ่าอยู่ที่นี่เป็นสิบปีแล้ว แล้วก็มุกกี้ (Spike Lee) พนักงานส่งพิซซ่าที่เป็นคนผิวดำ ส่วนเรื่องวุ่นที่เกิดนั้นก็มีเหตุจากการที่เพื่อนคนหนึ่งของมุกกี้สังเกตว่าภายในร้านของซัลนั้นมีแต่รูปคนอิตาเลี่ยน ไม่มีรูปคนผิวดำเลย เขาเลยอยากให้ซัลเอาภาพคนผิวดำมาใส่ในร้าน แต่ซัลก็ไม่ยอมครับ แล้วนั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของเหตุหายนะที่จะตามมา

ตัวหนังถือว่าเล่าได้ลื่นครับ ออกแนวดราม่าผสมความขบขัน ซึ่งกำกับโดย Spike Lee นั่นแหละ แม้หนังจะโฟกัสที่ชุมชนหนึ่ง แต่ผมว่าหนังก็สะท้อนภาพของสังคมโลกนี่แหละครับ โลกที่เต็มไปด้วยความแตกต่างทางเชื้อชาติ ต่างทางความคิด ต่างทางฐานะ ต่างทางวิถีชีวิต ซึ่งในแง่หนึ่งความต่างทั้งหลายก็ทำให้โลกของเรามีเฉดสีมากมาย สิ่งสร้างสรรค์หลายอย่างถือกำเนิดขึ้นได้ก็เพราะความต่าง สีสันมากมายในโลกถือกำเนิดขึ้นได้ก็เพราะโลกเรามีหลายเฉด นั่นคือมุมดีของความแตกต่าง

ส่วนมุมลบของความต่างนั้นก็คือ บางครั้งคนที่ต่าง ความคิดที่ต่างก็ไม่สามารถหาจุดบรรจบกันได้ – บางครั้งก็เพราะคนเรามีทิฐิต่อกัน ตั้งแง่ต่อกัน – บางคนคิดถึงสิทธิ์ตนเองแต่กลับละเมิดสิทธิ์คนอื่น บางคนก็เกรงใจคนอื่นจนไม่เหลือพื้นที่ของตัวเอง – ว่าง่ายๆ คือไม่ใช่ทุกความต่างที่จะลงเอยอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งหลายครั้งที่มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะคนเราไม่ยอมลงให้กัน ไม่หาทางออกร่วมกัน ไม่คิดถึงอกเขาอกเรา ฯลฯ อันทำให้ความต่างนำไปสู่ความขัดแย้ง นำไปสู่ความรุนแรง และนำไปสู่ความสูญเสีย

ผมเชื่อว่าท่านที่ดูหนังเรื่องนี้ย่อมมีมุมมองที่หลากหลายแตกต่างกันไปครับ บางคนอาจเข้าใจซัล บางคนอาจคิดแบบเพื่อนของมุกกี้ หรือบางคนอาจมองว่าพวกพี่เขาก็พอกันทั้งหมดนั่นแหละ – “ก็มันเป็นซะอย่างนี้แหละ ถึงได้เป็นซะอย่างนี้ไง”

หนังเตือนสติเราได้ดีครับ อย่างแรกคือทำให้ตระหนักถืงความต่างในโลกที่เราต้องบอกตัวเองเสมอว่าคนร้อยคนก็มีร้อยความคิด คนที่คิดไม่เหมือนเราก็ถือเป็นเรื่องปกติ หากมีความคิดต่างเกิดขึ้น สิ่งที่ควรทำก็คือหันหน้าเข้าหากัน แล้วต่างฝ่ายต่างก็อธิบายความคิดของตนให้อีกฝ่ายได้เข้าใจ ต่างฝ่ายต่างเปิดใจที่จะรับฟังความคิดของอีกฝ่าย ไม่กระจ่างตรงไหนก็ถามไถ่ให้ชัดแจ้ง และแม้สุดท้ายต่างฝ่ายต่างจะไม่เห็นด้วยต่อกัน ก็ไม่เป็นไร ก็ไปคุยเรื่องอื่นซะ ไว้พร้อมแล้วค่อยมาศึกษากันใหม่ หรือถ้าอารมณ์เกิดร้อนขึ้นมาก็แยกย้ายกันไป พักกันก่อน – และขอให้อย่าหันมาทำร้ายหรือไล่ฆ่ากันเพราะความต่างนั้น

Lee & Aiello In 'Do The Right Thing'

ความรุนแรงไม่ใช่คำตอบที่ดีครับ ซึ่งในแง่ของอารมณ์ความรู้สึกนั้นผมเข้าใจนะ อย่างตอนที่ซัลกับเรดิโอ ราฮีม (Bill Nunn) แง่งใส่กัน ขิงก็ราข่าก็แรง ส่วนหนึ่งเพราะอารมณ์มันพาไป มันโมโหสะสมจนทนไม่ไหวเลยเกิดเรื่องขึ้น ซึ่งผมคิดเอาน่ะนะครับว่า หนังคงไม่ได้อยากชี้ชวนให้คนตีกันหรอก แต่หนังพยายามฉายภาพให้คนดูเห็นแบบครบวงจรว่า คนเราพอต่างฝ่ายต่างแรงเข้าหากัน ถึงจุดหนึ่งมันก็จะหลุด แล้วพอหลุดล่ะก็ งานนี้ต้องมีคนเจ็บ จะเจ็บมากเจ็บน้อยหรือถึงตายก็แล้วแต่กรณี – แต่สิ่งที่หนังพยายามทำให้เราเห็นก็คือ มันเลวร้ายนะ – มันจบไม่สวยนะ – ดังนั้นถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเถอะ อย่ามีเรื่องกันเลย

ให้คนดูเห็นภาพในหนัง เพื่อที่จะได้เอาภาพในหนังไปเตือนตัวเองในชีวิตจริง – ภาพในหนังจะได้ไม่เกิดขึ้นในชีวิตจริง

โดยรวมแล้วผมชอบหนังแบบเกินคาดครับ คือรู้อยู่แล้วล่ะว่าต้องชอบแน่ ครั้นพอดูก็พบว่าตัวเองชอบไปหมด ทั้งชอบการแสดง ชอบการเล่าเรื่อง ชอบการวางโครงข่ายความสัมพันธ์ของตัวละคร ชอบหลายบทสนทนา ชอบรายละเอียดแต่ละช่วงตอนที่หนังสะท้อนให้เห็นถึงผู้คนที่มีมิติหลากหลาย เราจะได้เห็นคนดีมีน้ำใจ เราจะได้เห็นคนปากร้ายชอบแซะคนอื่น เราจะได้เห็นคนสุภาพที่บางทีก็โดนคนอื่นข่ม เราจะได้เห็นคนที่พูดพ่นไปเรื่อยแบบสนุกปาก เราจะได้เห็นคนยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมรับฟังคนอื่น เราจะได้เห็นคนที่เกลียดคนบางคนแล้วก็หาแนวร่วมชวนให้คนอื่นเกลียดคนผู้นั้นบ้าง เราจะได้เห็นคนที่มองโลกแง่สวยไม่คิดอะไรมาก ฯลฯ

คนในโลกนี้มีหลายแบบ และคนมากมายก็จะมีหลายแบบในคนเดียว – บางคนสามารถเป็นได้ทั้งคนดีมีน้ำใจและคนดุฟาดแรงได้ในคนๆ เดียวกัน

หนังเล็กๆ เรื่องนี้ทำเงินไม่เยอะ แต่ก็พอคุ้มทุนครับ ทำไปราวๆ $37.2 ล้านจากทั่วโลก ส่วนเงินลงทุนก็ประมาณ $6.5 ล้าน

เป็นหนังที่น่าดูครับ และอยากให้ได้ดูกัน ดูแล้วอยากให้คิดตาม ไตร่ตรองตาม พิจารณาตาม และข้อสำคัญคือสารพัดความรุนแรงและไม่น่ารักของตัวละครในหนังนั้น โปรดอย่าทำตามเลย – เพราะแค่เท่าที่เป็นอยู่นี้ ดัชนีความน่าอยู่ของโลกก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ แล้ว

ถ้านึกไม่ออกก็ทำอย่างที่ชื่อหนังบอกครับว่า “Do the Right Thing” ซึ่งถึงตรงนี้หลายคนก็อาจถามต่อว่า “แล้วอะไรคือถูกล่ะ? ถูกหรือผิดมันคือคำที่มนุษย์สร้างขึ้นและนิยามขึ้นไม่ใช่หรือ? นิยามตามนั้นมันใช่จริงหรือ?” อันนี้ก็โอเคครับ เข้าใจได้ ที่จะมองในเชิงปรัชญา มองในเชิงตั้งคำถาม มันก็เรื่องหนึ่งที่พูดกันได้ไม่จบ

เอาเป็นว่าทำในสิ่งที่ตัวเราและคนอื่นจะไม่เดือดร้อนก็แล้วกันครับ เริ่มจากตรงนี้ก่อน

สามดาวครับ

Star31

(8/10)