รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

First Daughter (2004) เฟิร์ทส์ ดอเธอร์ ติดปีกหัวใจลูกสาวประธานาธิบดี

Untitled06248

ตอนดู First Daughter จบ ผมบอกกับตัวเองว่าจริงๆ ผมควรจะชอบหนังเรื่องนี้นะ เพราะจะว่าไปผมก็ชอบในบทสรุปของเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่หากพิจารณาตัวหนังโดยรวมตั้งแต่ต้นจนจบพร้อมทั้งสำรวจความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อหนังแล้ว ก็คงต้องบอกว่าหนังยังไปไม่ถึงในจุดที่ควรจะเป็น และถือว่าหนังอยู่ในระดับกลางๆ ครับ

หนังบอกเล่าเรื่องราวของซาแมนต้า แมคเคนซี่ย์ (Katie Holmes) ลูกสาวคนเดียวของท่านประธานาธิบดี (Michael Keaton) ที่รู้สึกเบื่อหน่ายกับการใช้ชีวิตประหนึ่งในกรงทอง เลยอยากไปเรียนในที่ไกลบ้านสักหน่อยครับ นั่นคือไปเรียนที่แคลิฟอร์เนีย โดยเธอหมายว่าจะได้ใช้ชีวิตอิสระ แต่ก็กลายเป็นว่าเธอยังคงโดนห้อมล้อมโดยตำรวจลับ (ที่ไม่ใคร่จะลับ) แล้วเธอยังตกหลุมรักเจมส์ แลนซั่ม (Marc Blucas) ชายหนุ่มที่เธอมักจะได้เจอบ่อยๆ ด้วย แล้วชีวิตวัยเรียนของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไปหนอ

สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกคือ Forest Whitaker ที่รับหน้าที่กำกับเรื่องนี้อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสักเท่าไรครับ ก่อนหน้านี้ Whitaker เคยกำกับ Waiting to Exhale และ Hope Floats ซึ่ง 2 เรื่องนั้นผลลัพธ์นับว่าโอเคอยู่ โดยธีมเรื่องจะออกแนวดราม่าผสมโรแมนติก เป็นชีวิตรักผสมลูกรังไม่ได้ราบรื่นหวานแหวว ในขณะที่เรื่องนี้หากดูจากหน้าหนังก็น่าจะออกมากุ๊กกิ๊ก สนุกๆ แบบวัยรุ่น ซึ่งจะว่าไปโครงของหนังก็คล้ายๆ จะไปในทางนั้นครับ แต่ว่าอารมณ์ของหนังมันดูหนักๆ เดาว่าก็น่าจะเพราะรสมือของ Whitaker ที่ถนัดจะไปในทางนั้นมากกว่า ผลลัพธ์ที่ได้มันเลยครึ่งๆ กลางๆ ครับ คือภาพกับเรื่องราวมันดูจะไปในโทนหนังรักเบาสมองแบบวัยรุ่น แต่โทนและกลิ่นอายมันดูเป็นหนังจริงจัง ตัวหนังเลยดูขัดทางอารมณ์ในบางวาระ แล้วก็ไปไม่สุดเท่าที่ควร

แอบคิดว่าจริงๆ ถ้าหนังเปลี่ยนโทนเป็นแนวจริงจังไปเลยตามสไตล์ของ Whitaker หนังอาจจะเวิร์กกว่าครับ ประมาณว่าแทนที่จะมาเล่นกับเรื่องรักกุ๊กกิ๊กหรือเรื่องวัยรุ่นแหววๆ ก็หันมาจับประเด็นเรื่องชีวิตของซาแมนต้าที่ต้องออกมาเผชิญกับโลกแห่งความจริงหลังจากอยู่ในโลกที่มีพ่อแม่และคนของพ่อแม่ห้อมล้อมปกป้องมานาน พอเธอออกมาเผชิญกับโลกความจริงถึงได้รู้ว่าโลกนั้นมันซับซ้อน โดยเฉพาะคนในสังคมที่มีหลากแบบหลายมิติ มีทั้งที่คิดต่าง มองต่าง รู้สึกต่าง และมีความปรารถนาที่แตกต่าง บางคนจริงใจก็มี แต่ที่ไม่จริงใจก็มาก ว่าง่ายๆ คือโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่และมีอะไรมากกว่าที่เธอรู้ แล้วเธอก็ได้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นหลังจากผ่านเรื่องราวทั้งหมด – เนี่ยครับ น่าจะเล่นกับประเด็นเหล่านี้ แล้วก็ให้เรื่องรักๆ ถอยมาเป็นพล็อตรอง ผมว่าหนังน่าจะเหมาะมือ Whitaker มากกว่า และหนังก็จะมีความแตกต่างจากหนังรักวัยรุ่นทั่วๆ ไปด้วย

แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่หนังเป็นคือพยายามจะวัยรุ่น พยายามจะรับเรื่องเพื่อน พยายามจะกุ๊กกิ๊กโรแมนติก ซึ่งผลมันออกมาแปร่งๆ ไปได้ไม่สุด

Untitled06249

ในแง่นักแสดงจริงๆ ถือว่าโอเคครับ Holmes ดูน่ารัก มีความสง่างาม แฝงด้วยความเป็นเจ้าหญิง และจริงๆ บทประเภทสาวมีสมองนี่เธอก็เล่นได้นะ แต่หนังไม่เปิดโอกาสมากนัก พอๆ กับ Keaton ที่รายนี้ก็เล่นดีเหมือนกัน อย่างฉากพ่อส่งลูกไปเรียนและกอดกันก่อนจาก ทั้ง Holmes และ Keaton รับส่งอารมณ์กันได้ดีครับ เพียงแต่บทของ Keaton มีไม่เยอะ เลยทำอะไรไม่ได้มาก

Blucas ก็ถือว่ากลางๆ กับบทหนุ่มหล่อที่ชนะใจลูกสาวประธานาธิบดีครับ แต่บทก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ทำอะไรมากมายอีกเหมือนกัน ส่วนนักร้องสาว Amerie ที่มารับบทมิอา ทอมป์สัน เพื่อนร่วมห้องของซาแมนต้า รายนี้บทก็ออกมาแปร่งๆ พอดู บางมุมเธอดูจะมีความเป็นตัวของตัวเองและมีความกล้า แต่บางเวลาก็ดูเป็นสาวขี้ใจน้อยและไม่น่ารักอย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนบทนี้เขียนมายังไม่นิ่งน่ะครับ เธอเลยดูมีคาแรคเตอร์ที่ผสมๆ กันระหว่างเพื่อนนางเอกที่มีหัวขบถ กับเพื่อนที่คอยจะอิจฉานางเอก และที่สำคัญคือบทนี้จู่ๆ นึกจะหายก็หายไปเฉยเลย

นอกจากนี้ก็มีบทสมทบคนละนิดละหน่อยครับ Margaret Colin (Independence Day) มาเป็นเมลานี่ย์ สุภาพสตรีหมายเลข 1 แม่ของซาแมนต้า, Lela Rochon (ภรรยาของผู้กำกับ Antoine Fuqua) มาเป็นลิซ หนึ่งในทีมของท่าน ปธน. ที่ต้องคอยประสานระหว่างคุณพ่อและคุณลูก และ Michael Milhoan ดาราสมทบหน้าคุ้นอีกคนมาเป็นเจ้าหน้าที่บ็อค ตำรวจลับที่คอยคุ้มกันซาแมนต้า

โดยรวมตัวหนังคือยังไม่ลงตัวครับ จะกุ๊กกิ๊กวัยรุ่นก็ไม่เชิง แต่จะเป็นเรื่องวัยรุ่น Coming of Age ก้าวข้ามสู่การเป็นผู้ใหญ่ก็ยังไม่ใช่แบบเต็มๆ

แต่กระนั้นหนังก็มีประเด็นดีๆ ครับ นั่นคือการชี้ให้เราตระหนักว่าการกระทำของคนในครอบครัวเดียวกันนั้น ย่อมมีผลถึงกันเสมอ อย่างสิ่งที่ซาแมนต้าทำนั้นย่อมส่งผลถึงพ่อแม่ของเธอ อันนี้ไม่จำเป็นว่าต้องมีพ่อเป็นประธานาธิบดีแล้วสิ่งที่ลูกทำถึงจะส่งผลต่อพ่อนะครับ ต่อให้เป็นคนธรรมดาเดินก็เป็นแบบนี้เหมือนกันครับ และไม่ใช่ว่าลูกทำแล้วจะส่งผลต่อพ่อแม่เท่านั้น แต่สิ่งที่พ่อแม่ทำก็ส่งผลต่อลูกได้เช่นกัน หรือกระทั่งต่อให้ไม่ใช่ญาติไม่ใช่มิตร แต่เป็นคนที่อยู่ในสังคมเดียวกัน ก็ยังอาจต้องรับผลจากสิ่งที่เราทำด้วยเช่นกัน มันคือโยงใยที่เชื่อมกันอยู่ครับ ดังนั้นเราควรคิดเสมอครับก่อนจะทำอะไรลงไป เพราะคนที่ต้องรับผลอาจไม่ได้มีเพียงแค่เราคนเดียว

สำหรับเกร็ดจากหนังก็คือ ตอนแรกหนังเรื่องนี้จะฉายไล่ๆ กับ Chasing Liberty หนังที่มีพล็อตคล้ายกัน คือว่าด้วยความรักของลูกสาวท่าน ปธน. (นำแสดงโดย Mandy Moore) แต่พอ Chasing Liberty ไม่ทำเงิน เลยมีการโยกโปรแกรมครับ เว้นช่วงไปฉายทีหลัง แต่ผลปรากฏว่าเรื่องนี้เจ๊งหนักกว่าเรื่องนั้นเสียอีก – Chasing Liberty ลงทุน $23 ล้าน แล้วทำเงินไป 12.3 ล้าน ในขณะที่เรื่องนี้ลงทุน $30 ล้าน แต่ทำเงินทั่วโลกไปแค่ $10.5 ล้านเท่านั้นครับ

และความล้มเหลวของหนังเรื่องนี้ยังส่งผลต่อผู้กำกับ Whitaker ด้วยครับ เพราะตอนแรก Whitaker มีแผนจะกำกับหนังรีเมคจากเรื่อง The Girl Can’t Help It (1956) แต่ในที่สุดโปรเจคท์ก็ไม่ได้ไปต่อครับ – ซึ่งหนังเรื่องที่ซาแมนต้ากับเจมส์ไปดูกันในโรงนั้นก็คือ The Girl Can’t Help It ต้นฉบับนั่นเอง

และหนังเรื่องนี้ยังเป็นผลงานสุดท้ายของคอมโพเซอร์ Michael Kamen ครับ เขาเสียชีวิตหลังจากหนังออกฉายราวๆ 2 เดือน และหนังเรื่องนี้ก็ได้อุทิศให้เขาด้วย ซึ่ง Kamen นั้นถือเป็นคอมโพเซอร์ที่สร้างสรรค์ดนตรีให้หนังแอ็คชั่นระดับตำนานมากมายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะ Highlander, Lethal Weapon ทั้ง 4 ภาค, Die Hard 3 ภาคแรก, Robin Hood: Prince of Thieves, The Last Boy Scout, Last Action Hero, Event Horizon รวมถึงหนังละมุนๆ อย่าง What Dreams May Come และการ์ตูนดีๆ อย่าง The Iron Giant ครับ ก็ต้องขอไว้อาลัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

สรุปว่าหนังอยู่ในระดับกลางๆ แต่ไปไม่สุดสักทางครับ จะหนังวัยรุ่นกุ๊กกิ๊กก็ไม่ใช่ จะเป็น Coming of Age ก็ไม่ใช่ หรือจะเป็นหนังสะท้อนชีวิตของลูกสาวผู้นำระดับประเทศก็ไม่เชิง เอาเป็นว่าไม่ใช่หนังที่ต้องดูยกเว้นชอบดาราก็ว่าไปอย่างครับ

ยังไม่ถึงสองดาวครับ

Star12

(5.5/10)

================
================
มีอะไรอยากสปอยล์หน่อยครับ
================
================

จริงๆ ผมชอบตอนจบนะครับ มันมีความหมายดี นั่นก็คือสุดท้ายแล้วทั้งเจมส์และซาแมนต้าแม้จะมีใจให้กัน แต่ต่างคนต่างก็แยกกันไปทำหน้าที่ของตน เจมส์ก็กลับไปเป็นตำรวจลับพิทักษ์ท่าน ปธน. (ดังคำที่เขากล่าวไว้ว่าอยากเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประวัติศาสตร์) ส่วนซาแมนต้าก็ได้มีชีวิตอิสระดั่งใจ ได้ออกไปใช้ชีวิตในวิถีของตนเองโดยไม่โดนตำรวจลับจับจ้อง ผมว่าเป็นบทสรุปที่เหมาะกับเรื่องราวครับ เพียงแต่ตัวหนังก่อนหน้านั้นมันไม่ได้บอกเล่าเพื่อปูมาสู่อะไรแบบนี้สักเท่าไร – อย่างที่บอกน่ะครับ ถ้าหนังเล่าแบบจริงจังกว่านี้ตามสไตล์ Whitaker หนังอาจจะโอเคกว่าที่เป็น ยิ่งดูจากบทสรุปแล้วรู้สึกเลยครับว่า Whitaker น่าจะมีสิ่งที่อยากเล่าอยู่เหมือนกัน