รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

The Prince & Me (2004) รักนาย เจ้าชายของฉัน

Untitled06246

ผมเคยดู The Prince & Me เมื่อนานมาแล้วครับ ยอมรับว่าจำอะไรไม่ได้เลยนอกจาก Julia Stiles ที่ผมว่าเล่นเรื่องไหนเธอก็ทำหน้าที่ได้ดีเสมอ ในขณะที่ตัวหนังนั้นรู้สึกกลางๆ ครั้นมีโอกาสคว้าเอามาดูอีกรอบก็รู้สึกโอเคกับหนังมากขึ้นหน่อยนึง แต่กระนั้นก็รู้สึกครับว่าหนังยังไม่ลงตัวคล่องคอแบบเต็มร้อย มีทั้งจุดที่เข้าท่าและจุดที่แปร่งปร่าผสมกลั้วๆ กันไป

พล็อตเรื่องเล่าง่ายครับ เมื่อเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด (Luke Mably) แห่งเดนมาร์กเกิดอยากมาลองใช้ชีวิตสนุกๆ ในอเมริกาก็เลยปลอมตัวเป็นสามัญชนมาเพื่อเรียนๆ เล่นๆ แต่แล้วเขาก็ได้พบกับเพจ มอร์แกน (Stiles) สาวสวยที่จริงจังกับชีวิต และเธอคนนี้นี่แหละครับที่จะเปลี่ยนเจ้าชายเพลย์บอยให้กลายเป็นสุภาพบุรุษ – แต่ประเด็นคือเธอไม่รู้เลยนะว่าเอ็ดเวิร์ดคือเจ้าชายน่ะ

โดยรวมแล้วก็จัดว่าดูได้เพลินๆ สำหรับความเป็นหนังโรแมนติกผสมเบาสมองแบบวัยรุ่นน่ะนะครับ มีกุ๊กกิ๊ก มีฮา มีดราม่าผสมปนๆ กัน จริงๆ ถือว่าค่อนข้างครบ แต่ยอมรับว่าช่วงต้นๆ ไม่ใคร่จะถูกโฉลกกับตัวเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดสักเท่าไร อย่างตอนต้นเรื่องนี่เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดดูเป็นเพลย์บอยเหลือเกิน ยิ่งฉากที่เขากอดผู้หญิงซ้ายขวาและผลัดกันหอมนี่ผมนึกถึงหนังจีนขึ้นมาเลย ที่จะมีฉากพวกคุณชายเจ้าสำราญไปเที่ยวหอคณิกาแล้วก็โอบสาวๆ ซ้ายขวาก่อนจะหอมสลับกันไปซ้ายทีขวาที นี่ถ้ามีมือยื่นมาป้อนจอกเหล้าแล้วมีเสียงหัวเราะ “วะฮะฮะฮะ” นี่ใช่เลยครับ

หรือเหตุผลในการที่เอ็ดเวิร์ดไปอเมริกาหนังก็สื่อไปในทางที่ว่าเขาไปก็เพราะสาวๆ เรียกว่ากะไปสำมะเลเทเมาเป็นหลัก และขณะเดียวกันภาพลักษณ์ของโรงเรียนที่เอ็ดเวิร์ดไปก็ดูสำมะเลาเทเมพอกัน ยิ่งบทสนทนาที่เขาพูดกับเพจตรงบาร์เหล้าแล้วยิ่งสื่อชัดว่าเขามาเพื่อหลีเป็นหลัก

จริงๆ ก็พอเข้าใจน่ะครับ ช่วงต้นพยายามสื่อว่าพระเอกเป็นเพลย์บอยไม่ค่อยมีความรับผิดชอบ แล้วก็ให้เจอกับนางเอกที่มีความหนักแน่น ขยันหมั่นเพียร แล้วในที่สุดเธอก็เปลี่ยนให้เขากลายเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม มีความรับผิดชอบมากขึ้น เป็นสุภาพชนมากขึ้น ก็พอเข้าใจน่ะ

ขณะเดียวกันหนังก็พยายามสื่อว่าจริงๆ เอ็ดเวิร์ดเป็นคนมีของ มีดีในตัว อย่างฉากอ่านหนังสือแล้วตีความงานของเชคสเปียร์เป็นต้น ฉากนี้บ่งบอกว่าเอ็ดเวิร์ดตีความความลึกซึ้งได้มากกว่าเพจเสียอีก ถึงจุดนี้ผมก็พยายามมองน่ะครับว่าเอ็ดเวิร์ดมีดี เพียงแต่สิ่งแวดล้อมที่ผ่านมามันพาเขาไปในทางเพลย์บอยเสียเยอะ พอเจอเพจมาดึงสติเขาก็เลยเปลี่ยนไปในแง่ดี แล้วก็ดึงเอาอะไรดีๆ ในตัวเขาออกมาด้วย

จะว่าไปผมก็ชอบประเด็นนี้น่ะครับ ประเด็นที่ว่าการมีความรักมันส่งผลต่อคู่รักคู่นั้นๆ เสมอ บางคู่รักกันแล้วดี รักกันแล้วเกื้อกูลหนุนนำให้ชีวิตทั้งคู่เป็นไปในทางที่ดีขึ้น พัฒนาขึ้น อัพเกรดขึ้น เรียกว่ารักกันแล้วเจริญก้าวหน้า แต่คู่ที่รักกันแล้วพากันไปเสีย พากันไปเข้ารกเข้าพงนี่ก็มีเหมือนกัน

ดังนั้นยามเรามีรักก็ควรตรวจสอบความรักของคู่เราสักหน่อยครับ ว่าเมื่อรักกันแล้ว เมื่อมีแฟนแล้ว มันนำพาเราไปในทิศทางไหน หากดีก็ดีไป แล้วก็ช่วยกันทำให้มันดียิ่งๆ ขึ้นไปก็จะดี – แต่หากรักแล้วหลงระเริง หลงผิดคิดพลาด ยิ่งรักกลับยิ่งทำให้ชีวิตดิ่งลงสู่ที่ต่ำ ทั้งสองฝ่ายก็ควรช่วยกันดึงสติ ช่วยกันผลัดดึงมืออีกฝ่ายให้พ้นจากบ่อปลักบ่อโคลน

รักแล้วควรให้งอกงาม ไม่ใช่หงิกงอเงอะงะ

Untitled06247

และจริงๆ ไม่ใช่แค่คนรักเท่านั้นที่มีผลต่อชีวิตเราครับ แต่ยังรวมถึงสังคมคนแวดล้อมรอบตัวเราด้วย เราอยู่กับคนหมู่ไหนก็จะมีแนวโน้มที่เราจะเป็นเหมือนคนหมู่นั้น มีชีวิตเหมือนคนหมู่นั้น – การเลือกคบคนจึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ ที่ส่งผลดีแย่แก่ชีวิตเราได้เหมือนกัน

นอกจากนี้คนเราต้องรู้จักมีความรับผิดชอบ ต้องรู้จักบริหารจัดการชีวิตตน และหมั่นอัพเกรดตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงครับ เราจะเป็นใครก็ตามก็ต้องรับผิดชอบชีวิตตนทั้งสิ้น – เราในวันนี้สามารถดีกว่าเมื่อวานได้ หากเราตั้งใจมากพอล่ะก็

ครับ ประเด็นน่ะเข้าท่า แต่การนำเสนอร้อยเรียงเรื่องราวนั้นยังไม่เข้าที่ อีกอย่างคือยอมรับว่าแอบขัดๆในบางช่วงเหมือนกัน สิ่งหนึ่งเลยที่รู้สึกคือตัวละครในบางฉากดูขัดกับบางฉาก ไม่ได้ดูต่อเนื่องเป็นตัวเดียวกัน อย่างฉากที่เอ็ดเวิร์ดเป็นเพลย์บอย จ้องแต่ความสวยของสาวๆ บวกด้วยการเอาแต่อารมณ์พร้อมจะระเบิดความรู้สึกออกมา ฉากนั้นก็ดูเอ็ดเวิร์ดเป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่มีเค้าความเป็นคนที่มีความคิดเจืออยู่เลย ครั้นพอถึงฉากที่เอ็ดเวิร์ดดูมีความคิด เขาก็ดูมีความคิดเด่นชัด ดูเป็นอีกคน เสมือนหนึ่งว่าช่วงที่เป็นเพลย์บอยไม่เคยเกิดขึ้น – อันนี้โดยส่วนตัวมองว่าเป็นในเรื่องการแสดงของ Mably ที่อาจยังตีไม่แตกกับคาแรคเตอร์ของเอ็ดเวิร์ด

ที่มองแบบนั้นก็เพราะเรื่องแบบนั้นไม่เกิดกับ Stiles ครับ เธอดูเป็นคนแบบไหนก็เป็นแบบนั้น เวลาเธอจะมีความเปลี่ยนแปลงเราก็จะสัมผัสได้ถึงห้วงอารมณ์บางอย่างนำร่องมาก่อนที่ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น ไม่ว่าตอนที่จู่ๆ เธอก็อยากพาเอ็ดเวิร์ดไปจู๋จี๋ในมุมลับของห้องสมุด หรือตอนท้ายที่เธอตัดสินใจจะก้าวออกมาจากชีวิตเอ็ดเวิร์ด มันดูมีการแลนดิ้งทางอารมณ์ นำทางให้คนดูรู้สึกว่าเธอกำลังคิดอะไร และมันจะนำไปสู่อะไร

แต่กระนั้นตอนท้ายหนังก็สรุปจบไวเหมือนกันครับ เหมือนจะรีบจบก็เลยรีบสรุปให้มันจบลงดื้อๆ ง่ายๆ แบบนั้นเลย อันนี้ก็อาจต้องมอบความรับผิดชอบให้ทีมเขียนบท+ดัดแปลงบทอย่าง Mark Amin, Katherine Fugate, Jack Amiel และ Michael Begler ที่ยังเกลาบทได้ไม่เนียนในบางจังหวะ ในขณะที่ผู้กำกับ Martha Coolidge จะว่าไปก็คุมงานแต่ละฉากได้ไม่เลว เพียงแต่ความกลมกล่อมยังไม่เต็มที่ ซึ่งก็มาจากบทในแต่ละช่วงที่บางช่วงก็โทนหนึ่ง บางซีนก็อีกโทนหรือไปอีกเรื่องหนึ่ง – แต่ซีนไหนที่ดีก็คือดีจนสัมผัสได้ครับ อย่างซีนสาวๆ รวมพลังบัตรเครดิตเพื่อช่วยเพจน่ะครับ ฉากนี้มาสั้นๆ แต่น่ารักได้ใจ

สำหรับดาราในเรื่องนั้น รู้สึกเหมือน Stiles เป็นเดอะแบกอยู่เหมือนกันครับ ยังดีที่ช่วงหลังๆ Mably พอจะช่วยแบ่งการแบกไปได้บ้าง แต่รายที่ถือว่าขโมยซีนได้พอตัวคือ Ben Miller ในบทซอเรน ผู้คอยเคียงข้างเจ้าชายเสมอ อีกคนที่ถือว่าเด่นไม่น้อยคือ Miranda Richardson ในบทราชินีโรซาลินด์ ที่เด่นไม่น้อยในตอนหลัง แต่เสียดายครับที่จู่ๆ บทจะหายก็หายไปเลย ทั้งๆ ที่ตัวละครนี้น่าจะมีผลให้เนื้อเรื่องเข้มข้นขึ้นแท้ๆ

ดารารายอื่นถือว่ากลางๆ ครับ แต่มีอยู่ 2 คนที่ดูแล้วรู้สึกคุ้นหน้า พอดูไปสักพักก็ร้องอ๋อ รายแรกคือ Devin Ratray ที่มาเป็นสก็อตตี้ เพื่อนร่วมห้องของเจ้าชาย รายนี้เคยเป็นบัซ พี่ของเควินใน Home Alone 2 ภาคแรกน่ะครับ แล้วอีกคนก็ Zachary Knighton ที่แสดงเป็นหนึ่งใน 2 พี่ชายของเพจ รายนี้ในเวลาต่อมาก็มาแสดงเป็นริคในซีรี่ส์ Magnum P.I. ครับ

โดยรวมแล้วผมว่าหนังโอเคเพราะการแสดงของ Stiles ครับ นอกนั้นก็เรื่อยๆ แต่ก็จัดว่าดูได้สำหรับหนังสไตล์นี้

สองดาวครับ

Star21

(6/10)